เอเจนซีส์ / MGR online - ผู้มีสิทธิออกเสียงชาวสเปนจำนวนกว่า 36 ล้านคน ใช้สิทธิของตนลงคะแนนในการเลือกตั้งทั่วไปของแดนกระทิงดุที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ (20 ธ.ค.) โดยที่ปัญหาอัตราการว่างงานที่พุ่งสูง และบรรดาเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณีถูกระบุว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่กัดกร่อนคะแนนนิยมของพรรคการเมืองสายอนุรักษนิยมอย่างพรรค “Popular Party” ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอย รวมถึงพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคสังคมนิยม
รายงานข่าวโดยสื่อท้องถิ่นสำนักต่างๆในแดนกระทิงดุระบุว่า การเลือกตั้งทั่วไปคราวนี้น่าจะจบลงโดยที่ไม่มีพรรคการเมืองใดที่ได้ครองเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาจำนวน 350 ที่นั่ง และอาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสมเสียงข้างน้อยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า “ตัวแปรสำคัญ” ที่อาจกำหนดผลการเลือกตั้งทั่วไปในสเปนคราวนี้ คือ การเสื่อมความนิยมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวสเปนต่อสองพรรคการเมืองใหญ่ที่ผลัดเปลี่ยนกันครองอำนาจมายาวนานหลายทศวรรษทั้งพรรค“Popular Party” ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอย รวมถึงพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคสังคมนิยมแห่งสเปน ซึ่งทั้งสองพรรคต่างได้รับผลกระทบจากเรื่องทุจริตอื้อฉาวที่ถูกเปิดโปงผ่านสื่อตลอดหลายปีมานี้ ยังไม่รวมถึงความล้มเหลวของรัฐบาลราฮอยในการแก้ปัญหาการว่างงานที่พุ่งสูง
ปัจจัยเชิงลบเหล่านี้อาจส่งผลให้บรรดาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสเปน หันไปเทคะแนนให้กับพรรคการเมืองทางเลือกใหม่อย่างพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายสุดขั้วอย่าง “โปเดโมส” และพรรคสายกลางน้องใหม่อย่าง “ซิวดาดาโนส” ที่ต่างมีฐานเสียงเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเบื่อหน่ายเอือมระอากับความล้มเหลวและเรื้องอื้อฉาวซ้ำซากของสองพรรคการเมืองใหญ่และเก่าแก่ของประเทศ
แม้เศรษฐกิจของสเปนจะก้าวพ้นภาวะถดถอย และคาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ราว 3 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นอัตราการฟื้นตัวที่รวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอื่นๆภายในกลุ่ม “ยูโรโซน” แต่รัฐบาลอนุรักษนิยมของนายกรัฐมนตรีราฮอยกลับล้มเหลวแบบไม่เป็นท่าในการแก้ปัญหาการว่างงานที่พุ่งสูงเกินกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ชาวสเปนอีกนับหมื่นชีวิตต้องกลายสภาพเป็น "คนไร้บ้าน" หลังการล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแดนกระทิงดุ ในช่วงการบริหารของรัฐบาลชุดนี้
นักวิเคราะห์ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่นายกรัฐมนตรีราฮอยในวัย 60 ปีอาจต้องสูญเสียอำนาจหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ แม้จะพยายามชูนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนและประกาศจะเดินหน้าสร้างงานใหม่ให้แก่ประชาชนอีก “2 ล้านตำแหน่ง” หากได้กลับเข้ามาครองอำนาจต่ออีก 4 ปี