เอเอฟพี - ประธานาธิบดี ฟรังซัวส์ ออลลองด์ เมื่อวันพฤหัสบดี (12 พ.ย.) สั่งกองทัพฝรั่งเศสยกระดับโจมตีทางอากาศถล่มพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในอิรักและซีเรีย ตามหลังเหตุโจมตีนองเลือดในกรุงปารีส พร้อมเรียกร้องคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติให้อำนาจทุกประเทศใช้มาตรการทุกอย่างที่จำเป็นต่อสู้กับพวกนักรบญิฮัดกลุ่มนี้
ถ้อยแถลงที่ทางทำเนียบประธานาธิบดีเผยแพร่ออกมาตามหลังนายออลลองด์ พบปะกับคณะรัฐมนตรีระดับอาวุโสและเหล่าผู้บัญชาการทหาร ระบุว่า “ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ออกคำสั่งให้ปฏิบัติการทางทหารต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการกับพวกไอเอสในซีเรียและอิรัก ยกระดับหนักหน่วงขึ้น”
ในที่ประชุม นายออลลองด์ ได้รับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าการสืบสวนเหตุโจมตีพร้อมกันหลายจุดโดยฝีมือของพวกไอเอส เมื่อวันที่ 13 พศจิกายน คร่าชีวิตผู้คน 129 ศพ “ที่ประชุมศึกษาทุกมาตรการที่จะช่วยส่งเสริมความพยายามปกป้องพลเรือนของเรา” ถ้อยแถลงระบุ
ประธานาธิบดี ออลลองด์ มีกำหนดพบปะกับ วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียในมอสโกสัปดาห์หน้า 2 วันหลังจากเดินทางไปพูดคุยกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา ในวอชิงตัน โดยมีเป้าหมายยกระดับสู้รบกับพวกหัวรุนแรง ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดี (19 พ.ย.) ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้มาหารือเช่นกัน
ในวันเดียวกันนี้ ฝรั่งเศสยังได้เรียกร้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มอบอำนาจแก่ประเทศต่าง ๆ ใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นในการต่อสู้กับพวกไอเอส หลังจากนักรบกลุ่มนี้ออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตีกรุงปารีส
ร่างมติที่นำเสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งประชาชาติ 15 ประเทศ เรียกร้องรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ เพิ่มความพยายามและยกระดับความร่วมมือเป็น 2 เท่า เพื่อปกป้อง และกำจัดการก่อการร้ายโดยเฉพาะจากฝีมือของพวกไอเอสและกลุ่มต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับอัลกออิดะห์
“ด้วยภัยคุกคามที่ผิดธรรมดาและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของนักรบกลุ่มนี้ต่อประชาคมนานาชาติทั้งมวล จึงจำเป็นอย่างที่คณะมนตรีความมั่นคงต้องตอบสนองอย่างหนักแน่น เป็นอันหนึ่งเดียวกันและชัดเจน” ฟรังซัวส์ เดอแลต เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำยูเอ็นกล่าว “นีคือ เป้าหมายของร่างมติของเรา ซึ่งเรียกร้องรัฐสมาชิกทั้งมวลใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นในการต่อสู้กับไอเอส”
ความพยายามของฝรั่งเศสที่ร้องขอแรงสนับสนุนจากสหประชาชาติ มีขึ้นหลังจากรัสเซียได้ยื่นร่างมติฉบับแก้ไขแยกกัน ที่เรียกร้องให้สู้รบกับพวกไอเอสภายใต้ความยินยอมจากซีเรีย ซึ่งถูกปฏิเสธจากสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ไม่ยอมร่วมมือกับรัฐบาลนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่พวกเขากล่าวหาว่าปลุกปั่นความรุนแรงด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยม
