รอยเตอร์ - นาโตและพันธมิตรเปิดการซ้อมรบทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในรอบกว่า 1 ทศวรรษเมื่อวันจันทร์ (19 ต.ค.) โดยเลือกตอนกลางของเมดิเตอร์เรเนียน เป็นสถานที่แสดงแสนยานุภาพ ท่ามกลางการคุกคามจากการแผ่ลามอิทธิพลทางทหารของรัสเซีย ไล่ตั้งแต่แถบคาบสมุทรบอลติกไปจนถึงซีเรีย
ท่ามกลางฝูงบินบินโบเฉี่ยวบนท้องฟ้าเหนือพิธีเปิด ณ ฐานทัพอากาศแห่งหนึ่ง ทางภาคใต้ของอิตาลี ซึ่งมีเหล่าผู้นำทางการเมืองและกองกำลังนาโตเข้าร่วม การกลับมาผงาดในเวทีโลกอีกครั้งของรัสเซียคือหัวข้อหลักแห่งความกังวล ผลักให้นาโต้ดำเนินการระดมพลครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็น
“นี่คือการส่งสารอย่างชัดเจนถึงผู้รุกรานไม่ว่าจะเป็นหน้าไหนๆ” พล.อ.ฟิลิป บรีดเลิฟ ผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) พูดถึงการซ้อมรบที่ใช้ชื่อว่า Trident Juncture และการทดสอบกองกำลังตอบโต้เร็วใหม่
“ความพยายามใดๆ ที่จะละเมิดอำนาจอธิปไตยของหนึ่งในสมาชิกนาโต ผลลัพธ์คือการมีส่วนร่วมทางทหารอย่างแน่วแน่ของทุกประเทศนาโต” บรีดเลิฟกล่าว
อย่างไรก็ตาม เค้ารางที่อยู่เหนือการซ้อมรบครั้งนี้ที่ประกอบด้วยทหาร 36,000 นาย เรือรบและอากาศยานต่างๆ ตลอด 5 สัปดาห์ต่อจากนี้ ก็คือประเด็นการปรากฏตัวทางทหารเพิ่มมากขึ้นของรัสเซียไล่ตั้งแต่แถบบอลติกไปจนถึงซีเรีย ที่อาจจำกัดประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวทั้งทางอากาศและทางทะเลของนาโต้
นอกเหนือจากการปรากฏตัวทางทหารมากขึ้นแถบบอลติกซึ่งรัสเซียมีฐานทัพเรือในคาลินินกราด ตลอดจนทะเลดำ และไครเมีย รวมถึงการเข้าแทรกแซงในซีเรีย มอสโกยังได้ประจำการขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานและต่อต้านเรือครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล
“เรามีความกังวลอย่างยิ่งต่อการเสริมกำลังทางทหารของรัสเซีย” พล.อ.อเล็กซานเดอร์ เวอร์สโบว์ รองเลขาธิการทั่วไปของนาโต้บอกกับผู้สื่อข่าว “มีการระดมกองกำลังมากขึ้นในคาลินินการ์ด ทะเลดำและตอนนี้แถบตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนดูท่าจะมีความท้าทายบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามา”
เจ้าหน้าที่นาโตยืนยันว่าพันธมิตรแห่งนี้พร้อมและสามารถปกป้องพันธมิตรทั้ง 28 ชาติจากภัยคุกคามใดๆ เพราะพวกเขามีกองกำลังร่วมกันเหนือกว่าแสนยานุภาพทางทหารของรัสเซียอยู่มาก
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่และผู้แทนนาโตยังคงมีความกังวลว่าพันธมิตรควรมีความกระฉับกระเฉงกว่านี้ในการต่อสู้กับภัยคุกคามต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือพรมแดนของพวกเขา โดยยกกรณีการล่มสลายของลิเบีย การปรากฏตัวขึ้นมาของนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) และสงครามกลางเมืองซีเรียมาเป็นตัวกระตุ้น
นอกจากนี้แล้วพวกเขายังจับตายุทธศาสตร์จัดตั้งโซนป้องกันอิทธิพลของรัสเซีย หรือที่เรียกกันว่า “ยุทธศาสตร์ต่อต้านการเข้ามา/ปฏิเสธไม่ให้เข้าพื้นที่” ซึ่งประจำการฐานยิงขีนาวุธจากพื้นผิวสู่อากาศและขีปนาวุธต่อต้านเรือ ที่สามารถสกัดกองกำลังหรือขัดขวางการเคลื่อนไหวทางอากาศ บนบกและทางน้ำ ซึ่งมันอาจเป็นอุปสรรคต่อพันธมิตรนาโต้ในนั้นรวมถึงสหรัฐฯ ในการจัดตั้งเขตห้ามบินเพื่อปกป้องผู้ลี้ภัยจากการทิ้งระเบิดทางภาคเหนือของซีเรีย