เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ แสดงความมั่นใจว่ามหาเศรษฐีปากเปราะ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะไม่ชนะศึกเลือกตั้งผู้นำทำเนียบขาวในปี 2016 และไม่อาจก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีต่อจากเขาได้อย่างแน่นอน
มหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 69 ปี ที่ตอนนี้เป็นตัวเก็งที่มาแรงสุดในสายรีพับลิกัน ใช้กลยุทธ์ปราศรัยที่ก้าวร้าวรุนแรงจนสร้างความโกรธเคืองและกังขาต่อสาธารณชนชาวอเมริกัน ทั้งในเรื่องนโยบายผู้อพยพ กฎหมายควบคุมอาวุธปืน สตรี และอื่นๆ
“เขารู้วิธีดึงดูดความสนใจคน เขาเป็น... ตัวละครทีวีคลาสสิกอย่างแท้จริง และในขั้นเริ่มต้นนี้ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับความสนใจอย่างมาก” โอบามาให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 minutes ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (11 ต.ค.)
“แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ”
คำพูดดูหมิ่นและยั่วยุของทรัมป์ ทั้งในเรื่องผู้อพยพและอื่นๆ ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นเมื่อมีการสำรวจความคิดเห็นกลับพบว่าคะแนนนิยมของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างการปาฐกถาต่อบรรดาผู้นำการเมืองละตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โอบามาได้ติเตียน “พวกที่พูดจายั่วโทสะคนอื่น แล้วก็มาบอกภายหลังว่า ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพื่อที่จะทำพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำอีก”
“การโหมกระพือไฟแห่งความไม่อดทนซึ่งกันและกัน (intolerance) และทำเป็นตกตะลึงเมื่อพบว่าไฟลามเสียแล้ว... ไม่ใช่ภาวะผู้นำ”
ทั้งนี้ โอบามาไม่ได้เอ่ยนามมหาเศรษฐีปากเปราะตรงๆ แต่วิจารณ์ทิศทางการปราศรัยของผู้สมัครสายรีพับลิกันโดยรวม
ผู้นำสหรัฐฯ ยังแสดงความเป็นห่วงเรื่อง “กระแสต่อต้านผู้อพยพอย่างจริงจังในหมู่ฐานเสียงส่วนใหญ่ของรีพับลิกัน” แต่ก็ยอมรับว่า “ไม่ใช่ทั้งหมด” ที่เป็นเช่นนั้น
โอบามาซึ่งชนะศึกเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2008 กำลังจะหมดวาระในเทอมที่ 2 ของการเป็นประธานาธิบดีในช่วงต้นปี 2017 ยืนยันว่าไม่รู้สึกเสียใจที่ถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายไม่ให้ลงสมัครเป็นผู้นำทำเนียบขาวสมัยที่ 3
“ผมคิดว่าการได้บุคคลใหม่เข้ามาทำหน้าที่ การได้มุมมองใหม่ บุคลากรใหม่ แนวคิดใหม่ และบทสนทนาใหม่ๆ กับชาวอเมริกันในประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งในปีหน้าอาจจะแตกต่างไปจากวันนี้ยิ่งกว่าสมัยที่ผมเริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อ 8 ปีก่อนเสียอีก... ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้จะดีต่อระบอบประชาธิปไตยของเรา... มันสื่อถึงความสมบูรณ์แข็งแรง”
อย่างไรก็ตาม โอบามาเชื่อว่าเขาจะ “ชนะ” ถ้ามีโอกาสได้กลับสู่สนามเลือกตั้งประธานาธิบดี และในช่วง 15 เดือนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็เป็นเวลาที่ทั้ง “หวานและขมขื่น” สำหรับเขา
“ผมรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากกับความสำเร็จที่เราได้ทำมา และบางทีก็เกิดความคิดว่าอยากจะทำอะไรต่อไปอีกสักหน่อย... แต่เมื่อเวลาของผมหมดลง ผมก็คงต้องไป”