รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นเป็นอย่างน้อย 86 คนแล้วเมื่อวันเสาร์ (3 ต.ค.) ในเหตุการณ์ดินถล่มหมู่บ้านชานเมืองหลวงของกัวเตมาลาซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี (1) โดยที่ความหวังจะได้พบผู้รอดชีวิตกำลังเหือดแห้งเลือนลาง ถึงแม้บรรดาญาติมิตรยังคงพยายามขุดคุ้ยบริเวณที่เคยเป็นบ้านเรือน เพื่อค้นหาศพของผู้เป็นที่รัก ขณะที่จำนวนผู้ถูกระบุว่าสูญหายยังมีอีกหลายร้อยคน
ในวันเสาร์ (3) เหล่าญาติมิตรพยายามใช้จอบใช้พลั่วขุดคุ้ยอยู่ข้างๆ เครื่องจักรทำงานขุดตัก เพื่อค้นหาร่างของเหยื่อเคราะห์ร้ายในกองเนินดินโคลนซึ่งถล่มจากภูเขา ลงมาทับทำลายบ้านเรือนกว่าร้อยหลัง ในเขตเทศบาลเมืองซานตา กาตารินา ปินูลา อันเป็นชานเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงกัวเตมาลาซิตี
ทุกๆ ครั้งที่เครื่องจักรขุดตักดินขึ้นมา ต้องพบพวกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ตั้งแต่ที่นอนไปจนถึงหนังสือและของเล่น ตลอดจนอุปกรณ์ประดับตกแต่งต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส กลายเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงผู้คนอีกราว 350 คนซึ่งทางการผู้รับผิดชอบระบุว่ายังอยู่ในบัญชีผู้สูญหาย
ที่บริเวณด้านนอกของสถานที่เก็บศพชั่วคราวซึ่งตั้งขึ้นมาใกล้ๆ กับสถานที่ขุดค้นหา พวกสมาชิกครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายซึ่งถือภาพถ่ายของผู้เป็นที่รักเอาไว้ในมือ พากันเข้าแถวยืนรอคิวที่จะได้เข้าไปดูศพซึ่งถูกนำขึ้นมาแล้ว เพื่อระบุว่าเป็นญาติของพวกตนใช่หรือไม่
“นี่เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับเรา” อานา มาเรีย เอสโกบาร์ แม่บ้านวัย 48 กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ขณะที่เธอเฝ้ารอฟังข่าวสมาชิกในครอบครัวที่ยังคงสูญหายไปจำนวนทั้งสิ้น 21 คน พวกเขาทั้งหมดพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ที่ตัวเธอเองได้ย้ายออกไปเมื่อ 1 ปีก่อน
“ตอนนี้เจอแค่น้องสะใภ้ของฉันคนเดียวเท่านั้น” เธอกล่าวต่อ
เครื่องจักรขุดดินคันหนึ่งขุดพบร่างของเด็กหญิงเล็กๆ ซึ่งมีรอยครูดรอยขีดข่วนที่บริเวณแขนและขา และพวกเจ้าหน้าที่กู้ภัยคาดว่าน่าจะเป็นร่องรอยแสดงถึงความพยายามที่จะดิ้นรนพาตัวเองให้หลุดออกดินที่ถล่มโถมทับ ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่พากันตะโกนร้องห้ามไม่ให้เครื่องจักรเฉียดใกล้จนอาจทำลายร่างของหนูน้อยผู้นี้
กาบี้ รามิเรซ คนเดินหนังสือวัย 18 ปี พยายามใช้พลั่วขุดคุ้ยหาน้องชายของเธอมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า หลังจากดินถล่มคราวนี้ได้ทับถมบ้านของเพื่อนบ้านซึ่งน้องชายของเธอกำลังไปเยือน
“ฉันไม่หวังที่จะได้พบเขาตัวเป็นๆ หรอก แต่ฉันหวังว่าจะได้พบร่างของเขาและทำพิธีฝังให้เขา” เธอกล่าว “ฉันต้องหาศพของเขามาทำพิธีฝัง ฉันปล่อยทิ้งเขาให้อยู่ตรงนั้นไม่ได้หรอก”
เนื่องจากฝนที่เทกระหน่ำลงมา ทำให้ดินหนักเป็นตันๆ, ก้อนหินและต้นไม้, พากันไหลถล่มตามกันลงมา โถมทับใส่ย่านที่อยู่อาศัยของเมืองนี้ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆ กับก้นของหุบเหวลึก และเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “เอล กัมไบรย์ 2” บ้านเรือนจำนวนมากพังราบ และผู้อยู่อาศัยจำนวนมากติดอยู่ข้างใน เนื่องจากตอนเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน
บ้านบางหลังถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกถึงประมาณ 15 เมตร และสำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติกัวเตมาลา (CONRED) ระบุว่าเข้าใจว่าคงยากที่จะพบผู้รอดชีวิตใดๆ อีกแล้ว
“ความหวังเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณควรจะสูญเสียไป ดังนั้นเราจึงยังคงหวังว่าจะพบใครบางคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่” รัฐมนตรีกลาโหมกัวลามาลา วิลเลียมส์ มานซิลลา กล่าว ถึงแม้เขายอมรับว่าโอกาสดังกล่าวมีอยู่น้อยเหลือเกิน
สำนักงานอัยการสูงสุดรายงานผ่านทางทวิตเตอร์ระบุว่า การตรวจนับล่าสุดแสดงว่าพบผู้เสียชีวิตแล้ว 86 คน ถึงแม้เกรงกันว่ายังมีอีกหลายร้อยคนที่ติดอยู่ในกองดินถล่ม ดังนั้นจึงอาจทำให้เหตุการณ์คราวนี้กลายเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในภูมิภาคอเมริกากลางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในจำนวนผู้เสียชีวิต มี 17 คนเป็นเด็ก นอกจากนั้นยังมีผู้คนอีกอย่างน้อย 26 คนได้รับบาดเจ็บ
เมื่อวันศุกร์ (2) มีรายงานหลายกระแสระบุว่า พวกสมาชิกในครอบครัว ได้รับ เอสเอ็มเอส ของผู้รอดชีวิตหลายรายที่กำลังถูกฝังอยู่ใต้ดินถล่ม ขอให้เร่งช่วยเหลือพวกเขา
อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบแจ้งว่าพวกเขาไม่พบไม่ได้ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่รายเดียวเมื่อวันเสาร์ (3) ถึงแม้มีทีมอาสาสมัคร, ทหาร, และพนักงานดับเพลิง จำนวนรวมประมาณ 1,800 คนออกไปขุดค้นหา
เจ้าหน้าที่รับผิดชอบระบุว่า สามารถขุดค้นนำเอาผู้รอดชีวิตขึ้นมาจากสถานที่เกิดเหตุได้ราว 400 คน นับตั้งแต่ที่ดินถล่มลงมาในคืนวันพฤหัสบดี (1)
การค้นหาในวันเสาร์ (3) มีกำหนดยุติลงในเวลาประมาณ 19.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น และจะเปิดการค้นหาอีกอย่างน้อย 1 วันในวันอาทิตย์ (4) ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติระหว่างประเทศ ในเรื่องการค้นหากู้ภัยกรณีเกิดภัยพิบัติ
แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่ซึ่งไม่มีความมั่นคง และอากาศก็ชื้นแฉะ ดังนั้นในวันอาทิตย์ (4) จะไม่อนุญาตให้อาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือแล้ว