รอยเตอร์ - สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เสด็จเยือนสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (22 ก.ย.) นำสาส์นสู่วอชิงตันว่าควรใช้อำนาจกับความมั่งคั่งรับใช้มนุษยชาติ และอย่าทำในทางตรงกันข้าม
โป๊ปฟรานซิสซึ่งประสูติในอาร์เจนตินาและประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่มีผู้นับถือกว่า 1,200 ล้านคนทั่วโลก เดินทางถึงสหรัฐฯ หลังจากเครื่องบินของสายการบินอาลิตาเลีย ที่พระองค์ทรงประทับมาจากคิวบา ลงจอด ณ ลานบินของฐานทัพจอยต์ เบส แอนดรูว์ส
ในสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าทำเนียบขาวให้ความสำคัญต่อการเสด็จเยือนสหรัฐฯ คราวนี้ของโป๊ปฟรานซิสเป็นอย่างมาก ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ดำเนินการแบบที่ไม่พบเห็นบ่อยครั้งนัก ด้วยเดินทางไปเฝ้าฯ รับเสด็จด้วยตนเองพร้อมกับครอบครัว ขณะที่เหล่าเด็กนักเรียนก็มารวมตัวกันบนลายบิน รอรับเฝ้าฯรับเสด็จเช่นกัน โดยพากันตะโกน “เรารักโป๊ปฟรานซิส เรารักโป๊ปฟรานซิส” ตอนที่เครื่องบินร่อนลงมาใกล้พื้นดิน
ประธานาธิบดีโอบามาจะมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ โป๊ปฟรานซิสอีกครั้งในวันพุธ (23 ก.ย.) ที่ทำเนียบขาว หลังจากสมเด็จพระสันตะปาปา พระชนมายุ 78 พรรษา จะมีขบวนแห่ผ่านเหล่าอนุสรณ์สถานหลักๆ ของวอชิงตัน ท่ามกลางความคาดหมายว่าชาวโรมันคาทอลิกจำนวนหลายหมื่นคนจะมารอรับเสด็จด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ถูกคาดหมายว่าจะใช้โอกาสเสด็จเยือนสหรัฐฯ เป็นเวลา 6 วัน มีปฏิสันถารในประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้อภัยและความยากจน เช่นเดียวกับภาวะโลกร้อน แต่จะหลีกเลี่ยงส่งสาส์นเกี่ยวกับกรณีที่วาติกันต่อต้านการคุมกำเนิด ทำแท้ง และการแต่งงานของกลุ่มคนรักร่วมเพศ
โป๊ปฟรานซิสยังได้รับคาดหมายว่าจะมีปฏิสันถารเกี่ยวกับเรื่องผู้อพยพ อันเป็นหนึ่งในประเด็นที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญนับตั้งแต่ทรงก้าวขึ้นเป็นประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกในปี 2013
นอกจากนี้แล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจะเป็นโป๊ปพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ที่จะประทานพระดำรัสต่อสภาคองเกรสในวันพฤหัสบดี (24 ก.ย.) และต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในวันศุกร์ (25 ก.ย.) รวมถึงกับเหล่าคริสตศาสนิกชนโรมันคาทอลิก ณ เวทีกลางแจ้งในฟิลาเดลเฟีย คาดหมายว่าจะมีผู้เข้าร่วมกว่า 1.5 ล้านคน
ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงใช้เวลาที่เสด็จเยือนคิวบาเป็นเวลา 4 วัน เรียกร้องให้เกาะคอมมิวนิสต์แห่งนี้กับสหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจเพื่อนบ้าน เดินหน้าคืนสู่ความปรองดองต่อไป หลังจากพระองค์ทรงเป็นคนกลางดึงสองฝ่ายสู่การคืนสัมพันธ์อันดีเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา