เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯที่ยังคงเป็นผู้สมัครแถวหน้าจากพรรคเดโมแครตเริ่มประสบปัญหาความเชื่อมั่น หลังจากอีเมลเซิร์ฟเวอร์ฉาวทำให้ประชาชนอเมริกันตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการทำหน้าที่ ล่าสุดผลโพล แสดงให้เห็นว่า คนอเมริกันในฝั่งเดโมแครตเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ เมื่อสว.แนวคิดโปรเกรสซีฟ เบอร์นี แซนเดอร์ส(Bernie Sanders)จากรัฐเวอร์มอนต์ ขึ้นนำในรัฐไอโอวา และรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์จากฝั่งรีพับลิกันยังนำโด่ง หลังขึ้นพูดในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัสเมื่อวานนี้(14)มีคนร่วมหมื่นมาให้กำลังใจ
สื่อทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เนชันแนล บิสซิเนสไทม์ Policy.mic หรือ dailycaller และหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ต่างรายงานล่าสุดถึงคะแนนนิยมที่ถดถอยของฮิลลารี คลินตัน ตัวเต็งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 ที่มีคะแนนนิยมตกลงหลังจากที่มีการเปิดเผยถึงการตรวจสอบอีเมลเซิร์ฟเวอร์ฉาว และรวมไปถึงการถูกทำคดีอย่างเป็นทางการของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯในคดียักยอกทรัพทย์ของอูมา อาเบดิน (Huma Abedin) อดีตผู้ช่วยหัวหน้าคณะทำงานของเธอในขณะที่ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต่างรู้สึกไม่เชื่อมั่น และตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการทำงานของฮิลลารี คลินตัน และยังเลยไปถึงความไม่ชอบมาพากลในการที่สามีของเธอ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บิล คลินตัน ได้รับอนุญาตจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯในสมัยที่เธอยังทำหน้าที่ ไปเป็นวิทยากรรับเชิญ และมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการขึ้นพูดในที่ต่างๆ
และจากทั้งหมดนี้ทำให้ผลโพลล่าสุดจากการจัดทำของ YouGov/CBS New แสดงให้เห็นว่าพรรคเดโมแครตเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ โดยจากการรายงานของ Policy.mic ในวันอาทิตย์(13)ชี้ว่า คลินตันมีคะแนนตามหลังตัวแทนผู้สมัครพรรคเดโมแครตคนอื่นถึง 2 รัฐคือ รัฐไอโอวา และรัฐนิวแฮมป์เชียร์
ซึ่งโดยเฉพาะในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ เธอมีคะแนนตามหลังถึง 22% โดยฮิลลารีได้คะแนน 30% ในขณะที่ผู้นำอันดับ 1 ในการจัดทำล่าสุดกลับเป็นและสว.รัฐเวอร์มอนต์ เบอร์นี แซนเดอร์ (Bernie Sanders)วัย 73 ปี ที่มีคะแนนนำโด่งถึง 52% และเป็นการขึ้นนำถึง 2 ครั้งติดในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ของแซนเดอร์ส
ทั้งนี้มีรายงานว่าแซนเดอร์สโด่งดังมาจากการที่มีแนวคิดก้าวหน้า โดยเป็นที่รู้จักในครั้งแรกจากการรณรงค์ @BlackLivesMatter และรวมไปถึงไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเท่าเทียมในการได้รับค่าจ้าง หรือการปฎิบัติต่อผิวสี และมีแนวคิดในการปฎิรูปสังคมอเมริกันโดยนำเสนอระบบประกันสุขภาพแบบแคนาดา จากการรายงานของดิอีโคโนมิสต์ในวันที่ 22 สิงหาคม 2015 ซึ่งเป็นระบบที่แตกต่างจากสหรัฐฯที่ชาวอเมริกันทุกคนต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมดโดยไม่มีรัฐเข้าช่วยแบกรับภาระ หรือความต้องการของแซนเดอร์สในการให้ระบบการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยเป็นคล้ายแคนาดา ซึ่งต่างจากระบบของสหรัฐฯเพราะในอเมริกานักศึกษาชาวอเมริกันต้องแบกรับภาระกู้เงินเพื่อการเล่าเรียน และเป็นสาเหตุทำให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีหนีสินล้นพ้นตัว แม้กระทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ยังต้องออกมายอมรับว่า เพิ่งชำระหนี้กู้ยืมทางการศึกษาหมดไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
แต่ปัญหาการกู้ยืมด้านการศึกษานั้นไม่ใช่เป็นอุปสรรคในฝั่งพรรครีพับริกันที่มีแนวคิดปกป้องตลาดเสรีนิยม และต่อต้านระบบสวัสดิการรัฐ รวมไปถึงด้านการศึกษา อาทิ สว.รัฐฟลอริดา มาร์โก รูบิโอ หนึ่งในผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 ที่มักคอแห้งต้องจิบน้ำในขณะกล่าวปราศรัยได้เคยกล่าวว่า เขามีความภาคภูมิใจในความเป็นคนอเมริกันเชื้อสายคิวบา สามารถชำระหนี้กู้ยืมทางการศึกษาได้หมดในคราวเดียวหลังจากได้ออกพ็อกเก็ตบุ๊กชีวประวัติของตนเองออกจำหน่าย
นอกจากนี้ Policy.mic ยังชี้ว่า นอกเหนือจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์แล้ว คลินตันยังพ่ายให้กับแซนเดอร์สในรัฐไอโอวา ซึ่งเธอได้คะแนนตามหลังแซนเดอร์ส 10% แต่ทว่าในรัฐเซาท์แคโรไลนาคลินตันยังคงสามารถนำแซนเดอร์สอยู่ 23%
ทั้งนี้พบว่า เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้จากโพลของ Public Policy Polling คลินตันตามแซนเดอร์ส 7% ในรัฐนิวแฮมเชียร์ ซึ่งในขณะนั้นคลินตันได้คะแนน 35% ในขณะที่แซนเดอร์สในคะแนน42% แต่หลังจากนั้นคลินตันมีคะแนนลดลงเหลือ 30% ล่าสุดในเดือนนี้ และเทรนด์นี้ยังสอดคล้องกับการรายงานของอินเตอร์เนชันแนล บิสซิเนสไทม์ ที่ได้รายงานเมื่อวานนี้(14)ว่า “ฮิลลารี คลินตัน” มีผู้สนับสนุนลดลง
ทั้งนี้จากการรายงานของสื่อธุรกิจที่ใช้ผลโพลสำรวจของ ABC News และWashington Post ซึ่งถูกเผยแพร่ในวันจันทร์(14) พบว่า คะแนนนิยมของคลินตันลดลงถึง 1 ใน3ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยอินเตอร์บิสซิเนสไทม์สได้ระบุว่า สาเหตุที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศมคะแนนลดลงเนื่องมาจากความซื่อสัตย์และความไม่เชื่อมั่น ซึ่งจากผลโพลABC ที่จัดทำโดย Langer Research Associates ชี้ให้เห็นว่าอีเมลฉาวมีส่วนสำคัญที่สุดต่อคะแนนนิยมของเธอ โดย 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวอเมริกันต่างไม่รู้สึกพอใจต่อคลินตันในการตอบคำถามในการจัดการปัญหาอีเมลเซิร์ฟเวอร์ และพบว่า 54% ของผู้ตอบคำถามรู้สึกว่า คลินตันกำลัง “ปกปิดความจริง” และที่สำคัญมากไปกว่านั้น กว่าครึ่ง หรือ 51% ของชาวอเมริกันคิดว่า คลินตัน “ได้ละเมิดกฏหมายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ” ในการใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวในการทำงานในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ
นอกจากนี้สื่อธุรกิจยังชี้เพิ่มเติมต่อว่า คะแนนิยมของคลินตันตกจาก 63% ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาไปอยู่ที่ 42% ในเดือนนี้ แต่เธอยังมีคะแนนนำแซนเดอร์สอยู่ 24 % ตามผลโพลของ ABC News และ the Washington Post ในขณะที่รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งมีข่าวล่าสุดว่าได้พบกับfund raiser คนสำคัญของพรรค มีคะแนน 21 %
และจากโพลที่ปรากฎ พบว่าคะแนนนิยมของฮิลลารี คลินตันตกลง ในขณะที่คะแนนนิยมของเบอร์นี แซนเดอร์สเพิ่มขึ้น
และเดอะอินเตอร์บิสซิเนสไทม์ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อเทียบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ราชาเศรษฐีที่ดินอเมริกัน และผู้สมัครแถวหน้าของพรรครีพับลิกันแล้ว จากโพลของ ABC News และ the Washington Post ชี้ว่า ทรัมป์มีคะแนนเพิ่มขึ้นถึง 33 % ในเดือนนี้เมื่อเทียบกับ 24% ในเดือนกรกฎาคม 2015 และตามมาด้วยอดีตศัลยแพทย์สมอง นายแพทย์เบน คาร์สัน (Dr. Ben Carson ) มีคะแนนในเดือนกรกฎาคมที่ 6% มาเพิ่มขึ้นถึง 20% ในเดือนนี้
แต่กระนั้นตามทัศนะของสื่อธุรกิจซึ่งอ้างอิงจากผลโพลชี้ว่า ถึงแม้ทรัมป์จะมีคะแนนนำโด่งเหนือตัวแทนคนอื่นจากพรรครีพับลิกัน แต่ทว่าเป็นการยากที่ชาวอเมริกันจะไว้วางใจลงคะแนนให้ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยพบว่า 6 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวอเมริกันระบุว่า ไม่คิดว่าทรัมป์จะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯได้
และเมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดพบว่า จากแบบสอบถามต่อผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งที่ระบุว่าเป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกันพบว่า 35% ไม่คิดว่าทรัมป์จะมีความเหมาะสมเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วน 44% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่คิดว่าทรัมป์จะมีคุณสมบัติและการควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ และ 47% ของผู้สนับสนุนรีพับลิกันไม่คิดว่าทรัมป์จะเข้าใจปัญหาพวกเขาได้
และจากผลโพลเดียวกันนี้พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามลดความนิยมลงในตัว เจบ บุช อดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดาเหลือแค่ 8 % ในเดือนนี้เมื่อเทียบกับ 21 % ในเดือนมีนาคม 2015
ถึงอย่างไรก็ตามแต่ ทรัมป์ยังคงมีความนิยมอย่างเหนียวแน่นที่สื่อสหรัฐฯต่างต้องติดตาม และอุทิสเวลาให้ เช่น MSNBC สื่อสายลิเบอรัลของสหรัฐฯยังต้องอุทิสช่วงเวลาส่วนหนึ่งเพื่อถ่ายทอดการออกอากาศการปราศรัยหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส เมื่อวานนี้(14)ซึ่งมีผู้เข้าร่วมอย่างหนาแน่น
โดยหนังสือพิมพ์สหรัฐฯ นิวยอร์กไทม์ได้รายงานเกาะติดสถานการณ์ในวันจันทร์(14)ว่า ทรัมป์สามารถเรียกทั้งเสียงสนับสนุนและการประท้วงในการปราศรัยล่าสุด
เศรษฐีที่ดิน ทรัมป์ปรากฎตัวในเวลา 18.30 น.ที่สนามบาสเก็ตบอลในร่มของเมืองดัลลัสด้วยสีหน้าเชื่อมั่น พร้อมกับกล่าวตะโกนผ่านไมโครโฟน และมีรูปเขาถูกถ่ายทอดบนจอโปรเจ็กเตอร์ทั้ง 4 ด้านว่า “มันกลับมาแล้ว” และเสริมต่อว่า “และมันไม่เงียบด้วย”
ซึ่งในการหาเสียงที่เมืองดัลลัส ทรัมป์ยังคงพุ่งเป้าไปที่นโยบายการจัดการต่อผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายซึ่งส่วนใหญ่ข้ามพรมแดนมาจากเม็กซิโกเข้ามายังสหรัฐฯ
โดยทรัมป์กล่าวว่า “สมาชิกแก็งอาชญากรรมส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย คนพวกนี้เป็นพวกป่าเถื่อน” และยังยืนยันต่อเสียงเชียร์ผู้สนับสนุนว่า ผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายเหล่านี้จะไม่มีโอกาสอยู่ในสหรัฐฯได้นาน
และ 2 วันก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้โอ้อวดคุณสมบัติของตนเองว่ามีความเหมาะสมคู่ควรที่จะเป็นผู้นำของชาติยิ่งใหญ่เช่นสหรัฐฯได้ เพราะเขานั้นมี “พลังในตัว” อย่างเหลือล้นที่จะไปเจรจากับประเทศที่มีเขี้ยวเล็บด้านการค้า ไม่ว่าจะเป็นชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หรือประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และคาดว่าทรัมป์คงรวมไปถึงอิหร่าน ที่ไม่นานมานี้ทรัมป์ได้ขึ้นเวทีต่อต้านดีลนิวเคลียร์อิหร่านร่วมกับสว.รัฐเท็กซัสว่าเป็นข้อตกลงที่แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
ทั้งนี้ในประเด็นการมีพลังของทรัมป์ หรือการไร้สมรรถภาพตามที่เศรษฐีที่ดินอสังหาริมทรัทพย์อเมริกันได้โจมตี “คาร์สัน” นายแพทย์ผิวสีที่เคร่งในคัมภีร์ไบเบิลและปฎิเสธถึงการเกิดขึ้นจริงของโลกร้อนว่า “คาร์สันเป็นคนดี แต่อ่อนปวกเปียกเกินไปที่จะไปสู้กับชาติเหล่านี้ได้ ”
อย่างไรก็ตามเป็นที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดทรัมป์จำเป็นต้องเอ่ยถึงคาร์สันในแง่ชั้นเชิงความเป็นผู้นำ เมื่อเอพีรายงานในวันอาทิตย์(13)ว่า คาร์สันสามารถตีตื้นเหนือ เจบ น้องชายอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ขึ้นนำเป็นอันดับ 2 ในฝั่งรีพับลิกัน เป็นรองแต่ทรัมป์เท่านั้น ซึ่งในการขึ้นเวทีของฝั่งคาร์สัน เขาได้หยิบยกประเด็นเรื่องศาสนาที่มีความอ่อนไหว และยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงในแง่การเมืองของสหรัฐฯที่ว่า คาร์สันสงสัยถึงศรัทธาต่อพระเจ้าของทรัมป์ ในขณะที่ทรัมป์ต้องกล่าวเชิงป้องกันตัวว่า “คุณไม่ควรจะโจมตีคนอื่นด้วยประเด็นศรัทธา”