รอยเตอร์/เอเอฟพี - สหรัฐฯเมื่อวันพุธ (12 ส.ค.) แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อคำตัดสินระวางโทษยาวนานของศาลทหารไทยต่อผู้ต้องหา 2 คน ที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานฐานหมิ่นสถาบัน ระบุไม่มีใครควรโดนคุมขังจากการแสดงออกอย่างสันติ
เมื่อวันศุกร์ (7 ส.ค.) ศาลทหารไทยสั่งลงโทษจำคุกผู้ต้องหาชายคนหนึ่ง ในฐานความผิดล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเวลา 30 ปี ถือเป็นการลงระวางโทษหนักหน่วงที่สุดสำหรับข้อหานี้ แม้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย และในวันเดียวกัน ผู้ต้องหาหญิงอีกคนก็ถูกจำคุกเป็นเวลา 28 ปี จากความผิดโพสต์หมิ่นสถาบันบนสื่อสังคมออนไลน์เช่นกัน
“เรากังวลอย่างยิ่งต่อคำพิพากษาระวางโทษจำคุกที่ยาวนานของศาลทหารไทยต่อประชาชน 2 คนที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย” มาร์ค โทเนอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุ “ไม่มีใครควรถูกจำคุกจากการแสดงมุมมองอย่างสันติ”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า “เราเรียกร้องเจ้าหน้าที่ไทยเป็นประจำทั้งอย่างลับ ๆ และแบบเปิดเผย ให้รับประกันว่าสิทธิการแสดงออกไม่ใช่อาชญากรรม และควรได้รับการปกป้องตามพันธกิจและพันธสัญญาระหว่างประเทศของไทย” โทเนอร์ กล่าว “และผมอยากบอกด้วยว่าสหรัฐฯก็ให้การเคารพอย่างที่สุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเช่่นกัน”
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันอังคาร (11 ส.ค.) สหประชาชาติ ประณามคำพิพากษาระวางโทษยาวนานอย่างน่าตกใจของศาลทหารไทยที่กำหนดต่อผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นสถาบัน พร้อมเรียกร้องแก้ไขกฎหมายและปล่อยตัวผู้ต้องโทษเหล่านั้น
สหประชาชาติระบุว่า นายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง อายุ 48 ปี ถูกพิพากษาจำคุก 60 ปี ในฐานความผิดพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 6 กรรม จากการโพสต์เฟซบุ๊กระหว่างปี 2013 - 2014 แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 30 ปี ส่วน นางศศิวิมล ปฐมวงษ์ฟ้างาม อายุ 34 ปี ถูกพิพากษาจำคุก 56 ปี แต่ศาลลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง หลังรับสารภาพโพสต์เฟซบุ๊กดูหมิ่นสถาบัน 7 กรรม
สหรัฐฯเป็นพันธมิตรที่ยาวนานของไทย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติเสื่อมทรามลงนับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน โดยวอชิงตันระงับเงินช่วยเหลือและยกเลิกความร่วมมือด้านความมั่นคงบางอย่างเป็นการตอบโต้