เอเอฟพี - หน่วยงานปราบปรามการทุจริตของมาเลเซียสรุปผลการสอบสวนที่มาที่ไปของเงินเกือบ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค โดยชี้ว่าทั้งหมดเป็นเพียง “เงินบริจาค” ไม่ได้ถูกยักย้ายถ่ายโอนมาจากเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจดังที่ตกเป็นข่าวก่อนหน้านี้
ผู้นำเสือเหลืองเผชิญแรงกดดันอย่างหนักตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว หลังมีกระแสข่าวว่าเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกดึงออกไปจากกองทุน วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB) กองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวที่รัฐบาลนาจิบก่อตั้งขึ้น
เดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า พนักงานสอบสวนของรัฐบาลมาเลเซียตรวจพบเงินเกือบ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกโอนไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี จนเกิดกระแสเรียกร้องให้นาจิบลาออกเพื่อรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการปราบปรามการทุจริตมาเลเซียได้ประกาศผลการสอบสวนเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.) โดยยอมรับว่ามีเงินจำนวนดังกล่าวถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนาจิบจริง ทว่าไม่เกี่ยวข้องกับกองทุน 1MDB
“จากการตรวจสอบพบว่า เงินจำนวน 2,600 ล้านริงกิตที่อ้างว่าถูกโอนเข้าบัญชี (นาจิบ) เป็นเงินที่มีผู้บริจาคให้ และไม่ได้มาจากกองทุน 1MDB”
ทางคณะกรรมการไม่ได้ระบุตัวตนของผู้บริจาคที่ว่านี้ โดยชี้ว่ายังอยู่ระหว่างการสอบสวน
ทั้ง นาจิบ และกองทุน 1MDB ที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 ต่างออกมาปฏิเสธข่าวการยักยอกเงิน โดยอ้างว่าเป็นแผนของศัตรูทางการเมืองที่ต้องการใส่ความเพื่อล้มล้างรัฐบาล
ทั้งนี้ คาดว่าคำประกาศของคณะกรรมาธิการปราบปรามการทุจริตแห่งมาเลเซียจะยิ่งทำให้ฝ่ายต่อต้านออกมาโจมตีว่าเป็นความพยายามปกปิดความผิดของนาจิบ
สัปดาห์ที่แล้ว นาจิบได้สั่งปลดรองนายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน และคณะรัฐมนตรีอีกหลายคนที่เรียกร้องให้เขาออกมาอธิบายเกี่ยวกับกรณีอื้อฉาว 1MDB รวมถึงอัยการสูงสุดที่เป็นผู้ทำคดีนี้ด้วย
กลุ่มแนวร่วม บาริซาน เนชันแนล (บีเอ็น) ซึ่งกุมอำนาจปกครองมาเลเซียมานานถึง 58 ปีตั้งแต่ได้รับเอกราช เริ่มที่จะสูญเสียคะแนนนิยมในศึกเลือกตั้งปีหลังๆ เนื่องจากชาวแดนเสือเหลืองเริ่มเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมทุจริตคอรัปชัน และโหยหาความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น