เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยในวันอังคาร ( 28 ก.ค.) โดยระบุ นับตั้งแต่ปี 2005 - 2014 มีพลเมืองอเมริกันเสียชีวิตในต่างแดนมากกว่า 8,000 ราย
ข้อมูลซึ่งรวบรวมจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯทั่วโลก ระบุว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา มี “พลเรือน” ชาวอเมริกันเสียชีวิตในต่างแดนสูงถึง 8,011 ราย โดยภาพรวมแล้ว สาเหตุของการเสียชีวิตของพลเรือนอเมริกันในต่างแดนส่วนใหญ่เกิดจาก “อุบัติเหตุทางรถยนต์” และ “การฆ่าตัวตาย” เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี สาเหตุของการเสียชีวิตของพลเรือนอเมริกันจากการ “ถูกฆาตกรรม” ถือเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 สำหรับพลเรือนอเมริกันที่เดินทางไป หรือ อาศัยอยู่ในเม็กซิโก โคลอมเบีย เวเนซุเอลา และกายอานา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มีสถิติการเกิดคดีฆาตกรรมสูงที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ในขณะที่การเสียชีวิตของพลเรือนอเมริกัน เพราะตกเป็นเหยื่อการโจมตีของผู้ก่อการร้าย ตลอดจนกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงที่มีแนวคิดสุดโต่งต่างๆ ถูกระบุว่า เกิดขึ้นสูงสุดในอิรักและอัฟกานิสถาน
นอกจากนั้น ยังพบข้อมูลว่า การจมน้ำเสียชีวิต คือ สาเหตุการตายอันดับ 1 ของพลเรือนอเมริกัน ที่เดินทางไปยังประเทศหมู่เกาะแถบทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้
ในส่วนของการเสียชีวิตเพราะ การ “เสพยาเสพติดเกินขนาด”ของพลเรือนอเมริกันในต่างแดนถูกระบุว่า เกิดขึ้นมากกว่า 200 กรณีตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 1 ของพลเรือนอเมริกันที่เดินทางไปยังกัมพูชาและลาว
ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปี 2006 ถือเป็นปีที่มีพลเรือนอเมริกันเสียชีวิตในต่างแดนน้อยที่สุด คือ 651 ราย
ส่วนในปี 2010 ถือเป็นปีที่มีพลเรือนอเมริกันเสียชีวิตในต่างแดนสูงที่สุด คือ 1,064 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีมากกว่า 100 ราย ที่เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ระดับ 7.0 แมกนิจูดในประเทศเฮติเมื่อวันที่ 12 มกราคมของปีดังกล่าว ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไประหว่าง 100,000 – 316,000 ราย