เอเอฟพี - เว็บไซต์ด้านสืบสวนสอบสวนอ้างข่าวกรองออสเตรเลียซึ่งระบุว่า มี 2 นักบินชาวอินโดนีเซียถูกกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ปลูกฝังแนวคิดสุดโต่งจนอาจเป็น “ภัยคุกคาม” ด้านความมั่นคง แต่ทางการออสซี่ยังปฏิเสธที่จะยืนยันว่าเป็นรายงานของจริงหรือไม่
เว็บไซต์ ดิ อินเทอร์เซ็ป ได้อ้างเอกสารชุด Operational Intelligence Report ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติออสเตรเลีย ที่ระบุว่าตำรวจออสซีพบพฤติการณ์ต้องสงสัยบนเฟซบุ๊กของนักบินชาวอิเหนาทั้งสองซึ่งเข้าใจว่าเป็นพนักงานของแอร์เอเชีย และพรีมีแอร์ (Premiair) รายงานชี้ว่า นักบินทั้งสองคนได้โพสต์ข้อความสนับสนุนอุดมการณ์ของกลุ่มไอเอส
“จากการวิเคราะห์เนื้อหาที่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก เชื่อว่านักบินทั้งสองกำลังถูกแนวคิดหัวรุนแรงครอบงำ อย่างน้อยก็จากสื่ออินเทอร์เน็ต... ซึ่งอาจทำให้พวกเขาเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง”
สำนักงานตำรวจแห่งชาติออสเตรเลียได้ส่งคำแถลงไปยังสำนักข่าวเอเอฟพี โดยปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า รายงานเรื่อง “ตัวตนของนักบินอินโดนีเซียที่อาจถูกชักจูงโดยกลุ่มหัวรุนแรง” ซึ่งลงวันที่ 18 มีนาคมปีนี้ เป็นข่าวกรองของแท้หรือไม่
“สำนักงานตำรวจแห่งชาติออสเตรเลียไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับประเด็นข่าวกรอง... แต่เรามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างชาติ เพื่อปกป้องสวัสดิภาพของชาวออสเตรเลีย ทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ”
รายงานระบุว่า นักบินแอร์เอเชียที่ถูกอ้างถึงสำเร็จหลักสูตรการบินเมื่อปี 2010 และปฏิบัติหน้าที่กัปตันนำเที่ยวบินจากอินโดนีเซียไปยังปลายทางต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์
พฤติกรรมการใช้เฟซบุ๊กของนักบินรายนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา “โดยมีการโพสต์สื่อที่สนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มไอเอส”
ช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาเริ่มติดต่อพูดคุยกับนักบินคนที่ 2 ซึ่งรายงานชี้ว่า เป็นอดีตนักบินประจำกองทัพเรืออินโดนีเซียที่ปัจจุบันผันตัวมาทำงานกับสายการบินพรีมีแอร์ (Premiair)
นักบินคนที่ 2 มักจะเข้ามากด Like ข้อความสนับสนุนไอเอสที่นักบินแอร์เอเชียโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก ในขณะที่ตนเองก็เริ่มเผยแพร่บทความที่สะท้อนแนวคิดรุนแรงสุดโต่งเช่นกัน
นักบินผู้นี้บินอยู่ในเส้นทางออสเตรเลีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และสหรัฐฯ
เว็บไซต์ ดิ อินเทอร์เซ็ป เผยด้วยว่า เอกสารข่าวกรองฉบับนี้ถูกแจกจ่ายไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายประเทศ ได้แก่ ตุรกี จอร์แดน อังกฤษ ยุโรป และสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีอยู่ระหว่างติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากแอร์เอเชียซึ่งมีฐานการบินอยู่ในมาเลเซีย และพรีมีแอร์ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการบินและการบริหารจัดการอากาศยานที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงจาการ์ตา