xs
xsm
sm
md
lg

UN เผยรายงานสอบสวน “สงครามกาซา”ชี้ชัดทั้งฝ่ายยิว – ฮามาส ต่างสร้างความรุนแรงเข้าข่าย “อาชญากรสงคราม”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอพี / เอเจนซีส์ /ASTV ผู้จัดการออนไลน์-องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยแพร่รายงานการสอบสวน “สงครามกาซา” เมื่อปี 2014 โดยสรุปว่า ทั้งอิสราเอลและกลุ่มหัวรุนแรงฮามาสของฝ่ายปาเลสไตน์ ต่างมีส่วนในการกระทำที่เข้าข่ายเป็น “อาชญากรสงคราม” ทั้งสิ้น

ผลการศึกษาโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ ที่นำโดยนางแมรี แม็คโกแวน เดวิส ได้ข้อสรุปว่าทั้งฝ่ายกองทัพของอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาสแห่งพื้นที่ฉนวนกาซาต่างมีพฤติกรรมซึ่งเข้าข่ายเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชนด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยมีหลายกรณีที่การละเมิดดังกล่าวของทั้งอิสราเอลและฮามาส มีความรุนแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรสงคราม

สงครามกาซาปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมปีที่แล้ว โดยมีมูลเหตูมาจากการถูกลักพาตัวของวัยรุ่นอิสราเอลจำนวน 3 รายซึ่งถูกพบเป็นศพในเวลาต่อมาที่เขตปกครองเวสต์แบงก์ของปาเลสไตน์ และตามมาด้วยการตอบโต้ของอิสราเอลด้วยการกวาดล้างจับกุมสมาชิกกลุ่มฮามาสจำนวนหลายร้อยรายในเวสต์แบงก์ เป็นเหตุให้กลุ่มติดอาวุธฮามาสที่มีที่มั่นสำคัญอยู่ในเขตฉนวนกาซาเริ่มตอบโต้ด้วยการเปิดฉากถล่มอิสราเอลด้วยจรวด ทำให้อิสราเอลเปิดปฏิบัติการถล่มฉนวนกาซาเต็มรูปแบบ

รายงานล่าสุดของยูเอ็นที่มีการเผยแพร่ที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ระบุว่า ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากกว่า 2,200 รายซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ได้เสียชีวิตระหว่างการถูกโจมตีโดยอิสราเอลในสงครามกาซา ขณะที่ทางฝั่งของอิสราเอลนั้นพบผู้เสียชีวิต 73 ราย รวมถึงพลเรือน 6 ราย

ในรายงานฉบับนี้ ทีมสอบสวนของสหประชาชาติระบุว่า ทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮามาสต่างกระทำการตอบโต้กันไปมาด้วยอาวุธสงครามในลักษณะที่มีความรุนแรง “เกินขอบเขต” เห็นได้จากการที่อิสราเอลใช้การโจมตีทางอากาศมากกว่า 6,000 เที่ยว และมีการยิงถล่มพื้นที่ฉนวนกาซาด้วยปืนใหญ่และรถถังอีกมากกว่า 50,000 ครั้ง ขณะที่กลุ่มฮามาสก็ทำการโจมตีอิสราเอลด้วยจรวดถึง 4,881 ลูก และกระสุนปืนใหญ่อีก 1,753 ลูก ตลอดการสู้รบที่ดำเนินต่อเนื่องถึง 50 วัน

จนถึงขณะนี้ ยังคงไม่มีการแสดงท่าทีใดๆจากทางการปาเลสไตน์หรือกลุ่มฮามาสต่อรายงานฉบับนี้ของสหประชาชาติ มีเพียงการออกมาตอบโต้ของกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลที่ระบุว่า รายงานของยูเอ็นฉบับล่าสุดนี้ ถูกจัดทำขึ้นโดยมี “แรงจูงใจทางการเมือง” แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง และขาดความน่าเชื่อถือ










กำลังโหลดความคิดเห็น