เอเจนซีส์ – ในวันนี้ (24 พ.ค.) เจ้าหน้าที่มาเลเซียยอมรับถึงรายงานการพบหลุมศพหมู่จำนวนร่วม 30 หลุมที่เชื่อกันว่าจะเป็นหลุมศพของชาวโรฮีนจาและผู้อพยพชาวบังกลาเทศจำนวนหลายร้อยคนในป่าปาดังเบซาร์ และวังเกเลียน ใกล้พรมแดนไทยที่มีการค้นพบไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังปฏิเสธเสียงแข็งมาโดยตลอดว่าในแผ่นดินมาเลเซียไม่เคยมีค่ายกักกันเครือข่ายค้ามนุษย์หรือหลุมศพหมู่มาก่อน
หนังสือพิมพ์ซิดนีย์มอร์นิงเฮอรัลด์รายงานในวันนี้ (24) ว่า การค้นพบที่น่าสะพรึงกลัวหลุมศพหมู่ร่วม 30 หลุมล่าสุดในเขตมาเลเซียคล้ายกับที่เกิดขึ้นในไทยก่อนหน้านี้ต้นพฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งทำให้การค้นพบในครั้งนั้นส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องทะลายเครือข่ายธุรกิจค้ามนุษย์ข้ามชาติครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา
แต่ทว่าสื่อออสเตรเลียชี้ว่า ท่าทีนี้ต่างจากมาเลเซียโดยสิ้นเชิง ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลเสือเหลืองปฎิเสธด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวมาตลอดว่าทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินมาเลเซียไม่มีค่ายกักกันผู้อพยพหรือหลุมศพหมู่ชาวโรฮีนจา ท่ามกลางวิกฤตคลื่นผู้อพยพมุสลิมโรฮีนจาล่องเรือหนีตายออกมากลางทะเลเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดความระส่ำระสายไปทั่วอ่าวเบงกอลและในเขตน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนี้
หนังสือพิมพ์ Mingguan Malaysia ได้รายงานว่า แท้จริงแล้วมีการค้นพบหลุมศพหมู่ในป่าบริเวณปาดังเบซาร์ และวังเกเลียน กลางเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ทว่าทางการมาเลเซียกลับปกปิดความจริงไว้
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแดนเสือเหลืองรายงานเพิ่มเติมว่า ตำรวจมาเลย์ได้ทำการจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติและชาวมาเลเซียในพื้นที่ภายใต้กฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์และลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
และยังมีรายงานว่า เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่มาเลเซียยอมให้เครือข่ายการค้ามนุษย์ลักลอบนำมุสลิมโรฮีนจาและผู้อพยพชาวบังกลาเทศสู่ตลาดค้าแรงงานทาส โดยเหยื่อค้ามนุษย์เป็นจำนวนมากถูกขังไว้ในป่า และรวมไปถึงบนเรือกลางทะเล ในระหว่างที่ญาติคนเหล่านี้ถูกขู่กรรโชกทรัพย์
สื่อออสเตรเลียยังรายงานเพิ่มเติมว่า การทะลายแหล่งค้ามนุษย์ของทางการไทยทำให้เครือข่ายค้ามนุษย์ต้องทิ้งแหล่งกบดานที่มีเหยื่อโรฮีนจาจำนวนมากถูกขังไว้ในค่ายกักกันบนบกและกลางทะเล รวมไปถึงสถานการณ์ที่ทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลอินโดนีเซียได้สั่งการให้ผลักดันไม่ให้เรือมุสลิมโรฮีนจาขึ้นฝั่งประเทศตน
แต่ทว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา มาเลเซียและอินโดนีเซียกลับยอมยกเลิกนโยบายเดิมที่เคยประกาศไว้ ท่ามกลางเสียงประนามของสังคมนานาชาติ ซึ่งในรายงานปรากฎว่ามีการพบว่ามุสลิมโรฮีนจาบางส่วนอดอาหารและต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยที่มาจากการทำรัฐประหารกลับมองมุสลิมโรฮีนจาเหล่านี้เป็นพวกผิดกฎหมายตามกฎหมายเข้าเมืองไทยและสั่งขังคนเหล่านี้ และอีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ตั้งข้อสังเกตต่อความหวังดีของสหรัฐฯ ที่จะช่วยสร้างค่ายผู้อพยพขึ้นว่า เกรงว่าจะเป็นการสนับสนุนให้มุสลิมโรฮีนจาเหล่านี้เสี่ยงภัยเดินทางล่องทะเลออกมานอกประเทศพม่าและบังกลาเทศมากขึ้น
และยังรวมไปถึงท่าทีปฎิเสธอย่างแข็งกร้าวของกองทัพไทยต่อคำขอของสหรัฐฯ ที่จะใช้เกาะภูเก็ตเป็นฐานบังคับการลาดตระเวนล่องเรือรบติดธงสหรัฐฯ ช่วยเหลือบรรดาผู้อพยพโรฮีนจาในแถบนี้ หนังสือพิมพ์ไทยภาคภาษาอังกฤษฉบับวันอาทิตย์บางกอกโพสต์รายงาน ซึ่งสื่อไทยรายงานต่อว่า จากแหล่งข่าวจากกองทัพไทยเปิดเผยว่า การปฎิเสธคำขอครั้งนี้ของไทยแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของไทยต่อแรงบีบจากสหรัฐฯต่อปัญหามุสลิมโรฮีนจาอย่างชัดเจน
ซิดนีย์มอร์นิงเฮอร์รัลด์รายงานปิดท้ายว่า นับตั้งแต่ต้นพฤษภาคมที่ผ่านมา ไทยได้จับกุมผู้ต้องสงสัยเครือข่ายค้ามนุษย์ไปแล้ว ซึ่งส่วนมากเป็นนักการเมืองท้องถิ่นของไทยในข้อหาค้ามนุษย์ และมีการออกหมายจับอีกไม่ต่ำกว่า 77 คน