เอพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ข้อมูลล่าสุดจากรายงานขององค์การสหประชาชาติ ที่มีการเผยแพร่ในวันพุธ (4 มี.ค.) ชี้ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งเหตุแผ่นดินไหว น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุ ฯลฯ ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจใหญ่หลวงคิดเป็นวงเงินเฉลี่ยสูงถึงปีละ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.7 ล้านล้านบาท)
รายงานดังกล่าวซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยการลดทอนความเสี่ยงจากภัยพิบัติระบุภัยพิบัติทางธรรมชาติได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจใหญ่หลวง คิดเป็นวงเงินเฉลี่ยสูงถึงปีละ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.7 ล้านล้านบาท)โดยที่เกือบ 2 ใน 3 เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “การประกันภัย” และ “การประกันชีวิต”
นอกจากนั้น ยังพบข้อมูลว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังต้องสูญเสียเงินรวมกันอีกราว 6,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 194,400 ล้านบาท) ต่อปี ไปกับโครงการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติทั้งหลาย เช่นโครงการป้องกันน้ำท่วม และโครงการก่อสร้างแนวป้องกันคลื่นซัดชายฝั่ง เป็นต้น
มาร์กาเรตา วัห์ลสตรอม ผู้แทนพิเศษของยูเอ็นด้านการลดทอนความเสี่ยงจากภัยพิบัติระบุว่า รายงานล่าสุดที่ถูกเผยแพร่มานี้ ถือเป็น “การส่งสัญญาณเตือน” ไปยังประเทศต่างๆ ว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเร่งลงทุนอย่างชาญฉลาดเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของตนในการรับมือกับภัยพิบัติ พร้อมกล่าวว่า ประเด็นการลดทอนความเสี่ยงจากภัยพิบัตินี้ จะเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักของเวทีการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 3 ว่าด้วยการลดทอนความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่จะมีขึ้น ณ เมืองเซนไดของญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 14-18 มีนาคมนี้ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมการประชุมกว่า 8,000 คนจากทั่วโลก รวมถึงผู้นำของหลายประเทศ
ด้านบัน คี-มูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติชาวเกาหลีใต้ซึ่งยืนยันจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวที่เมืองเซนได ออกมาระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในระดับที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นและถี่ขึ้น และว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการทุ่มเท “ทรัพยากรที่จำเป็น” เพื่อลดทอนผลกระทบจากภัยพิบัติ และปกป้องอนาคตของประชากรโลกรุ่นลูกรุ่นหลาน
