รอยเตอร์ – รัฐบาลเวเนซุเอลาสั่งให้สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงการากัสลดจำนวนเจ้าหน้าที่จาก 100 คนให้เหลือเพียง 17 คน ภายใน 15 วัน บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่นับวันจะยิ่งเขม็งเกลียวนับตั้งแต่ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ก้าวสู่อำนาจเมื่อปี 2013
มาดูโร ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านวอชิงตันไม่ต่างไปจากอดีตผู้นำหัวซ้าย อูโก ชาเบซ ผู้ล่วงลับ ยังกล่าวหาว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังความพยายามก่อรัฐประหารโค่นอำนาจของเขา
คำสั่งลดเจ้าหน้าที่ทูตถือเป็นมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ชัดเจนที่สุดในช่วงเวลาเกือบ 2 ปีที่ มาดูโร ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำเวเนซุเอลา แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามว่า เขากำลังใช้กลยุทธ์โบราณคร่ำครึเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากวิกฤตเศรษฐกิจเท่านั้นเอง
“พวกเขามีเวลา 15 วันที่จะลดเจ้าหน้าที่สถานทูตให้เหลือไม่เกิน 17 คน” เดลซี โรดริเกวซ รัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา กล่าวหลังการพบปะกับอุปทูต ลี แม็คเคล็นนี ของสหรัฐฯ
มาดูโร ระบุว่า สหรัฐฯ มีเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตในกรุงการากัสถึง 100 คน ในขณะที่สถานทูตเวเนซุเอลาประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีเจ้าหน้าที่เพียง 17 คนเท่านั้น
เขาอ้างเหตุผลว่า คณะทูตทั้ง 2 ประเทศควรจะมีกำลังคนเท่าๆ กัน
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มาดูโร แถลงข่าวการจับกุมพลเมืองอเมริกันหลายคนในข้อหา “จารกรรม” หนึ่งในนั้นเป็นนักบินที่ทางการเวเนซุเอลายังไม่มีการเปิดเผยชื่อ ส่วนมิชชันนารีชาวอเมริกัน 4 คนที่ถูกควบคุมตัวไว้สอบสวนนานหลายวันได้รับอิสรภาพแล้ว
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขายังไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับนักบินรายนี้ รวมไปถึงพลเมืองอเมริกันคนอื่นๆ ที่เพิ่งถูกจับกุม
วอชิงตันยืนกรานปฏิเสธไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของเวเนซุเอลา
“ระยะนี้มีข้อมูลที่สร้างความเกลียดชังอเมริกาออกมาจากฝั่งรัฐบาลเวเนซุเอลามากมายเหลือเกิน และส่วนใหญ่เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล” แมรี ฮาร์ฟ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลง
ระหว่างการปาฐกถาที่เผ็ดร้อนเมื่อวันเสาร์(27 ก.พ.) มาดูโร ยังได้อ่านรายชื่อนักการเมืองอเมริกันหลายคนที่ถูกเวเนซุเอลาขึ้นบัญชี “ก่อการร้าย” และห้ามเข้าประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช