รบ.ออสเตรเลียสั่งห้ามพลเมืองเดินทางไป “โมซุล” ในอิรัก

รอยเตอร์ - รัฐบาลออสเตรเลียออกคำสั่งวันนี้ (2 มี.ค.) ห้ามพลเมืองเดินทางไปยังเมืองโมซุลทางภาคเหนือของอิรัก ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) เพื่อสกัดกั้นแนวคิดหัวรุนแรงสุดโต่งที่กำลังระบาดในหมู่วัยรุ่นมุสลิมแดนจิงโจ้ ซึ่งบางคนเคยไปร่วมต่อสู้กับกลุ่มอิสลามิสต์ในต่างแดนมาแล้ว

จูลี บิชอป รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลียประกาศคำสั่งดังกล่าวก่อนที่ปฏิบัติการยึดคืนเมืองโมซุลโดยทหารอิรักและเคิร์ดราว 20,000-25,000 คนซึ่งได้รับการฝึกฝนยุทธวิธีโดยสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นภายในเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้

นับเป็นครั้งที่ 2 ที่ออสเตรเลียได้ออกกฎห้ามพลเมืองเดินทางไปยังพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในต่างประเทศ โดยก่อนหน้านี้ก็ได้ห้ามเดินทางไปจังหวัดรอกเกาะห์ในซีเรีย ซึ่งถือเป็นฐานที่มั่นที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส)

“รัฐบาลไม่ต้องการให้ชาวออสเตรเลียเข้าไปพัวพันกับเหตุก่อการร้ายในอิรักและซีเรีย หรือสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายใดๆ” บิชอป ระบุในถ้อยแถลง

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า วอชิงตันได้ส่งอาวุธปืนเอ็ม-16 จำนวน 10,000 กระบอก และยุทโธปกรณ์อื่นๆ รวมมูลค่า 17.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังอิรัก เพื่อช่วยสนับสนุนกองกำลังความมั่นคงให้สามารถรับมือกับนักรบไอเอสได้

สัปดาห์ที่แล้วไอเอสได้เผยแพร่คลิปวิดีโอบันทึกภาพกลุ่มชายฉกรรจ์ใช้ค้อนขนาดใหญ่และสว่านไฟฟ้าทำลายรูปปั้นสมัยจักรวรรดิอัสซีเรียและโบราณวัตถุล้ำค่าภายในพิพิธภัณฑ์เมืองโมซุล โดยให้เหตุผลว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการเคารพบูชาเทวรูปซึ่งขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม

ภายใต้กฎหมายความมั่นคงที่นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ ประกาศใช้เมื่อตุลาคม พลเมืองออสเตรเลียที่ฝ่าฝืนคำสั่งรัฐและเดินทางไปยังพื้นที่ต้องห้าม อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้ทุกประเทศกำหนดระวางโทษหนักสำหรับพลเมืองที่เดินทางไปร่วมต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธในต่างประเทศ รวมถึงที่ผู้จัดหาแนวร่วม หรือให้ทุนแก่ผู้อื่นไปกระทำการดังกล่าวด้วย

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงประเมินว่า มีชาวต่างชาติ “หลายพันคน” ที่เดินทางไปยังอิรักและซีเรียเพื่อสมัครเป็นนักรบของกลุ่มติดอาวุธที่ตนคลั่งไคล้ในอุดมการณ์