เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการ - รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษและสเปนเมื่อวันพฤหัสบดี (19 ก.พ.) ชี้ว่าทางออกของวิกฤตยูเครนจำเป็นต้องดำเนินการผ่านการเจรจาและไม่ควรผ่านวิธีมอบความช่วยเหลือทางทหารแก่กองกำลังเคียฟ ความเคลื่อนไหวที่สวนทางกับสหรัฐฯ ซึ่งกำลังชั่งใจติดอาวุธสังหารแก่กองทัพยูเครน
“เราไม่เชื่อว่า ณ ตอนนี้มันจะเอื้อต่อการมอบความสนับสนุนอาวุธสังหารแก่กองทัพยูเครน” นายฟิลิป แฮมมอนด์ รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ แถลงข่าวร่วมกับนายโฮเซ มานูเอล การ์เซีย มาร์กัลโล รัฐมนตรีต่างประเทศสเปนในกรุงมาดริด
“เราขอพูดอย่างชัดเจนว่าเราจะไม่ยอมให้กองทัพยูเครนล่มสลาย แต่เราคิดว่าในตอนนี้พวกเขายังห่างไกลจากจุดนั้น อันเนื่องจากสถานกาณ์ทางภาคพื้นในปัจจุบัน ดังนั้นอังกฤษจะไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนเกี่ยวกับการมอบความช่วยเหลือด้านอาวุธสังหารในตอนนี้” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม แฮมมอนด์บอกว่าคำถามที่ว่าจะส่งอาวุธเข้าไปช่วยเหลือกองทัพยูเครนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละประเทศ “มันไม่ใช่ประเด็นของอียูหรือประเด็นของนาโต” เขากล่าว
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ เคยบอกว่าการติดอาวุธให้ยูเครน และรวมไปถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรที่หนักหน่วงมากขึ้นกับรัสเซีย เป็นทางเลือกที่สหรัฐฯสามารถเลือกใช้หากจำเป็น แต่ก็ยอมที่จะยืดเวลาการตัดสินใจในการให้การสนับสนุนด้านอาวุธกับเคียฟออกไป จนกระทั่งความพยายามทางการทูตในการแก้ปัญหาวิกฤตยูเครนที่นำโดยเยอรมันนั้นล้มเหลว
เมื่อวันพฤหัสบดี (19 ก.พ.) ผู้นำของทั้งยูเครน เยอรมนี ฝรั่งเศส และรัสเซีย ต่างให้คำมั่นว่าจะปกป้องข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางทางภาคตะวันออกของยูเครน แม้มีการละเมิดหลายครั้ง ในนั้นรวมถึงกรณีที่พวกกบฏนิยมมอสโกจู่โจมเข้ายึดเมืองยุทธศาสตร์แห่งหนึ่ง
ในขณะที่เหล่าผู้นำประณามเหตุสู้รบดังกล่าวและเรียกร้องสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ก็ได้มีเสียงคัดค้านอย่างแข็งกร้าวจากกบฏแบ่งแยกดินแดนและรัสเซีย ต่อกรณีที่ยูเครนร้องขอให้สหประชาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง
อีกด้านหนึ่งทางกระทรวงกลาโหมยูเครนระบุในวันพฤหัสบดี (19 ก.พ.) ว่ามีกำลังพลของกองทัพ 13 นายเสียชีวิต และสูญหาย 82 นายระหว่างถอนกำลังออกจากเมืองเดบัลต์เซเว นอกจากนี้ยังมีทหารโดนจับตัวไปอีก 90 คน หลังจากถูกฝ่ายกบฏจู่โจมเข้ายึดเมืองยุทธศาตร์แห่งนี้ แม้ว่าข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนวันอาทิตย์ (15 ก.พ.) แล้วก็ตาม
ส่วนพวกแบ่งแยกดินแดนอ้างสามารถควบคุมทหารของกองทัพเคียฟได้มากถึง 300 คน และหนึ่งในแกนนำของฝ่ายกบฏคุยโวว่าปฏิบัติการจู่โจมสามารถปลิดชีพทหารยูเครนได้ 3,000 ถึง 3,500 นาย แต่ความจริงคือการนับตัวเลขผู้เสียชีวิตของแต่ละฝ่ายบ่อยครั้งที่โอ้อวดเกินจริงอยู่มาก เพื่อหวังผลด้านโฆษณาชวนเชื่อ
