xs
xsm
sm
md
lg

“โอบามา” ยืนยันสหรัฐฯ ไม่ได้ทำสงครามกับ “อิสลาม” วอนมุสลิมต่อต้านการ “บิดเบือน” คำสอน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ แสดงทัศนะระหว่างการประชุมซัมมิตว่าด้วยการต่อต้านลัทธิหัวรุนแรง (White House Summit on Countering Violent Extremism) ณ อาคารสำนักงานใหญ่ตึกไอเซนฮาวร์ ในบริเวณทำเนียบขาว เมื่อวานนี้ (18 ก.พ.)
เอพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ วิงวอนให้ชาวมุสลิมทั้งในอเมริกาและทั่วโลก ตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้กับความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่กลุ่มก่อการร้ายอย่างรัฐอิสลาม (ไอเอส) กำลังใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความรุนแรง พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการทำสงครามกับ “ศาสนาอิสลาม”

หลายสัปดาห์มานี้ ทำเนียบขาวพยายามหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามที่ว่า เหตุสังหารหมู่กองบรรณาธิการนิตยสารชาร์ลี เอ็บโด ในกรุงปารีส และการโจมตีที่เกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ ทั่วยุโรป เกิดจาก “ลัทธิอิสลามหัวรุนแรง” (Islamic extremism) หรือไม่ เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนต่อศาสนาซึ่งมีผู้นับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่งในโลก หรืออาจถูกมองว่ารัฐบาลโอบามากำลังสนับสนุน “สงครามต่อต้านก่อการร้าย” ดังที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยทำมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมซัมมิตว่าด้วยการต่อสู้ลัทธิหัวรุนแรงที่สหรัฐฯเป็นเจ้าภาพเมื่อวานนี้ (18 ก.พ.) โอบามายอมรับว่า มีชาวมุสลิมบางกลุ่มทำให้อิสลามถูกมองว่าเป็นศาสนาที่ไม่ยอมรับความแตกต่าง และเข้ากับสภาพสังคมยุคใหม่ไม่ได้

“เราไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาอิสลาม... แต่เรากำลังต่อสู้กับพวกที่บิดเบือนคำสอนของอิสลาม” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว

เขาชี้ว่า กลุ่มติดอาวุธ เช่น ไอเอส หรือกลุ่มอื่นๆ พยายามที่จะอ้างตนเป็นผู้นำศาสนา แต่แท้ที่จริงเป็นแค่ “ผู้ก่อการร้าย” และยังฝากคำวิงวอนโดยตรงไปยังผู้นำมุสลิมให้พยายามเชิญชวนผู้คนให้ออกห่างจากค่านิยมเน้นความรุนแรง เพราะทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้อง “ประกาศตัวต่อต้านความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์”

“ในขณะที่ผู้นำประเทศอย่างผมไม่ยอมรับสิ่งที่ผู้ก่อการร้ายอย่างไอเอสอ้างว่าเป็นหลักคำสอนอิสลามที่แท้จริง ผู้นำมุสลิมเองก็ควรขจัดความเชื่อผิดๆ ที่ว่าประเทศของเรากดขี่ศาสนาอิสลามด้วย”

ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่โอบามากล่าวพาดพิงถึงชาวมุสลิมโดยตรง จากเดิมที่ทำเนียบขาวมักจะเลือกใช้ภาษาแบบกลางๆ เมื่อต้องแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธ

หลังนิตยสารเสียดสี ชาร์ลี เอ็บโด ซึ่งเผยแพร่ภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมหมัดถูกกลุ่มคนร้ายบุกกราดยิงใหม่ๆ โอบามา ไม่ได้ระบุว่ามันเป็นผลพวงจาก “ลัทธิอิสลามหัวรุนแรง” แต่เลี่ยงไปใช้คำว่า “ความรุนแรงจากลัทธิสุดโต่ง” (violent extremism) ซึ่งมีความหมายไม่เข้าใครออกใคร

เมื่อไม่นานนี้ ทำเนียบขาวก็ต้องพยายามหาคำอธิบายที่เหมาะสมต่อคำถามที่ว่า สหรัฐฯ เชื่อว่ากลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถานเป็นองค์กรก่อการร้ายหรือไม่

การที่ โอบามา แสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดถึงบทบาทของอิสลามในเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ทำให้เขาถูกวิจารณ์ว่าใส่ใจเรื่องความถูกต้องในเชิงการเมือง (political correctness) มากเกินไปจนไม่กล้ายอมรับความจริง เจ้าหน้าที่ความมั่นคงบางคนถึงกับเตือนว่า ยุทธศาสตร์ต่อต้านก่อการร้ายของ โอบามา ไม่มีวันสำเร็จ ตราบใดที่ประธานาธิบดียังไม่สามารถ หรือไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่อยู่เบื้องหลังภัยคุกคาม

ที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาวยอมรับว่า พวกเขาเลี่ยงที่จะเชื่อมโยงเหตุโจมตีเหล่านี้กับศาสนาอิสลามเพื่อ “ความถูกต้องเที่ยงตรง” และเพื่อไม่ให้เป็นการสนับสนุนข้ออ้างในการใช้ความรุนแรงของกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งนำศาสนาอิสลามมาตีความไปในทางสุดโต่ง แต่บ่อยครั้งที่การระวังคำพูดกลายเป็นอุปสรรคต่อการหารือเพื่อหาวิธีสกัดกั้นไม่ให้ลัทธิหัวรุนแรงแพร่ออกไป

“มีคนบางกลุ่มที่ลงมือก่อการร้าย และหลังจากนั้นก็พยายามสร้างความชอบธรรมโดยอ้างหลักการอิสลามที่พวกเขาตีความคลาดเคลื่อน” โจช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลง

โอบามายอมรับต่อเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ผู้นำมุสลิม และสมาชิกสภาคองเกรสที่เข้าร่วมประชุมซัมมิตเป็นเวลา 3 วันว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็จำเป็นที่จะต้อง “พุ่งชน” เพื่อแก้ไขให้สำเร็จ

โอบามาพยายามแยกแยะระหว่างกลุ่มติดอาวุธ กับ “ชาวมุสลิมอีกนับพันล้านคนที่ปฏิเสธแนวคิดของพวกเขา” โดยระบุว่า เหยื่อที่ถูกไอเอสสังหารเป็นชาวมุสลิมมากกว่าผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ เสียอีก และขอให้ประชาคมโลกช่วยกันตีแผ่คำบอกเล่าของผู้ที่เคยถูกกลุ่มหัวรุนแรงชักจูงจนหลงผิดไปชั่วขณะ แต่กลับมา “เล็งเห็นความจริง” ได้ในภายหลัง

โอบามายอมรับว่า ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ มีความหวาดระแวงรัฐบาลและตำรวจ เพราะรู้สึกว่าพวกตนถูกเพ่งเล็งโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งส่งผลให้การร่วมมือกันระหว่างชุมชนมุสลิมกับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นไปได้ยาก แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีชาวมุสลิมอีกมากมายที่ทำงานรับใช้ชาติในกองทัพหรือภาคส่วนอื่นๆ จนประสบความสำเร็จมาหลายชั่วอายุคน

“แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องราวที่กลุ่มหัวรุนแรงและผู้ก่อการร้ายไม่ต้องการให้โลกรู้ นั่นก็คือชาวมุสลิมที่ประสบความสำเร็จและเจริญก้าวหน้าในอเมริกา... เพราะเมื่อใดที่ความจริงข้อนี้เผยแพร่ออกไป คำโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขาก็จะเป็นแค่การโกหก อย่างที่มันเป็นอยู่” โอบามากล่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น