xs
xsm
sm
md
lg

ตัวประกันผู้รอดชีวิตเผย IS บังคับสาวยาซิดีให้ “สละเลือด” ต่อชีวิตนักรบญิฮาดที่บาดเจ็บ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

(แฟ้มภาพ) ชนกลุ่มน้อยชาวยาซิดีหอบลูกจูงหลานเดินเท้าอพยพการไล่ล่าของกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง รัฐอิสลาม (ไอเอส) เพือหนีไปขออาศัยอยู่ในประเทศซีเรีย ซึ่งมีพรมแดนติดกัน
รอยเตอร์ - หญิงชนกลุ่มน้อยชาวยาซิดีที่ถูกจับเป็นตัวประกันถูกบังคับให้ “บริจาคเลือด” แก่นักรบญิฮาดหัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ทั้งนี้เป็นคำบอกเล่าของหญิงวัยรุ่นที่กำลังตั้งท้อง ผู้สามารถหลบหนีออกมาได้หลังถูกกลุ่มติดอาวุธไอเอสจับไปเป็นตัวประกัน

หญิงสาววัย 19 ปี นิรนามผู้นี้เล่าว่า เธอและลูกถูกกลุ่มหัวรุนแรงไอเอสจับตัวไปนาน 28 วัน และเชื่อว่านักรบกลุ่มนี้เป็นผู้ลงมือสังหารสามี น้องเขย และพ่อสามีของเธอ

เธอเปิดเผยกับนารีน ชามโม อดีตผู้สื่อข่าวที่ผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหว ขณะให้สัมภาษณ์ประกอบการถ่ายทำสารคดีของบีบีซีภาคภาษาอาหรับ ที่ชามโม กำลังลอบแกะรอยหญิงชาวยาซิดีผู้ถูกจับเป็นทาสใน “คอลิฟะห์” หรือกาหลิบอิสลาม นอกจากนี้ เธอยังได้พยายามเจรจาให้กลุ่มไอเอสยอมปล่อยชนกลุ่มน้อยกลับบ้านเกิดเมืองนอนทางตอนเหนือของอิรัก

ทั้งนี้ “ยาซิดี” คือชนกลุ่มน้อยต่างศาสนาที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ทางเหนือของอิรัก โดยความเชื่อของชาติพันธุ์กลุ่มนี้เกิดจากการผสมผสานหลักศาสนาโบราณต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางเข้าไว้ด้วยกัน นับตั้งแต่กลุ่มไอเอสเข้ารุกรานถิ่นที่อยู่ของชาวยาซิดีเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วก็มีผู้คนถูกสังหาร หรือจับเป็นตัวประกันแล้วหลายร้อยหลายพันราย

องค์การสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรต์วอตช์ และองค์การนิรโทษกรรมสากลระบุว่า นับแต่นั้นมา กลุ่มหัวรุนแรงรัฐอิสลามได้จับตัวผู้หญิง และเด็กสาวชาวยาซิดีหลายร้อยคนไปเป็นตัวประกัน รวมทั้งฉุดไปข่มขืน และทรมาน ทั้งยังบีบให้พวกเธอหันมานับถือศาสนาอิสลาม และแต่งงานกับเหล่าสาวกไอเอส

เธอเล่าว่า กลุ่มนักรบญิฮาดหัวรุนแรงได้แยกนักโทษชายและหญิงออกจากกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอ “เจ็บปวดใจมากที่ต้องเห็นผู้หญิงและเด็กสาวถูกกระทำเหมือนของที่ปล้นชิงมาได้จากสงคราม”

สารคดีของบีบีซีเปิดเผยว่า กลุ่มติดอาวุธมุสลิมสุหนี่กลุ่มนี้ได้ประกาศสถาปนาการปกครองแบบกาหลิบอิสลาม ในพื้นที่ยึดครองที่อิรักและซีเรีย ผ่านทางใบปลิวที่ถูกแจกจ่ายออกมาเมื่อเดือนธันวาคม พร้อมกับประกาศว่า ไอเอสมีสิทธิซื้อขาย หรือมอบหญิงและเด็กสาวเป็นของบรรณาการ

นอกจากนี้ กลุ่มไอเอสยัง “บีบบังคับให้เด็กสาวชาวยาซิดีบริจาคเลือดให้นักรบที่บาดเจ็บ ไม่ทราบว่าพระเจ้าเคยอนุญาตให้ทำเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
หญิงสาวชาวยาซิดีที่สามารถหลบหนีออกมาได้ หลังถูกกลุ่มนักรบไอเอสจับไปเป็นตัวประกันนาน 28 วัน
เธอบอกว่า สามารถหลบหนีออกมาได้กลางดึกคืนหนึ่งขณะนักรบผล็อยหลับอยู่นอกห้องที่เธอถูกขัง เธออุ้มลูกน้อยออกเดินเท้านาน 4 ชั่วโมงก่อนจะพบชายชาวอาหรับ ผู้ช่วยพาเธอกลับไปหาครอบครัว

ส่วนเหยื่ออีกคนหนึ่งเล่าว่า เห็นเด็กสาวถูกฉุดไปข่มขืนและทรมาน แม่ถูกพรากลูกไปจากอก และเด็กหนุ่มสาวก็ต้องพลัดพรากจากครอบครัวตัวเอง

เธอบอกว่า ผู้นำคนหนึ่งได้พาเด็กสาววัย 13 ปีไปที่บ้าน ก่อนจะลงมือข่มขืนเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าติดต่อกัน 3 วัน โดยผู้นำคนนี้โป้ปดกับลูกๆ ว่า เด็กสาวที่ตกเป็นเหยื่อกำลังหันมานับถืออิสลาม เขาจึงพาเธอมาสอนอ่านและสวดคัมภีร์อัลกุรอ่าน

เด็กสาววัย 21 ปีคนนี้กล่าวกับชามโมว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกของฉันมันด้านชาไปหมด เพราะไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการถูกข่มขืน”

รายงานฉบับหนึ่งขององค์การนิรโทษกรรมสากลที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาชี้ว่า กลุ่มไอเอสได้ฉุดเด็กสาวอายุเพียง 12 ขวบ และมีผู้หญิงและเด็กสาวจำนวนมากกำลังพยายามหรือครุ่นคิดหางฆ่าตัวตายเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกข่มขืน และความเลวร้ายขณะถูกจับเป็นตัวประกัน

สำนักข่าวบีบีซีภาคภาษาอาหรับได้ประมาณการว่า ในหมู่หญิงชาวยาซิดีทั้งหมดกว่า 3,000 คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว บัดนี้ได้รับการปล่อยตัวแล้วราว 300 คน

ชามโมซึ่งลอบติดต่อกับหญิงตัวประกันที่ถูกคุมขังผ่านบอกบีบีซีว่าภาคภาษาอาหรับว่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเรื่องผู้หญิงและเด็กสาวถูกบังคับให้บริจาคเลือดแก่นักรบญิฮาด



กำลังโหลดความคิดเห็น