xs
xsm
sm
md
lg

ปาฏิหาริย์! สองผัวเมียแดนอิเหนาได้ลูกคืนสู่อ้อมอกถึง 2 คน หลังถูก “สึนามิ” พรากไปนานสิบปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอพี - เรื่องราวนี้ทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความฝันของชายคนหนึ่ง เป็นความฝันที่นำมาซึ่งโอกาสได้พบหน้า เด็กหญิงที่ถูก “คลื่นยักษ์สึนามิ” พัดพาลงสู่มหาสมุทรอินเดียตั้งแต่เมื่อหนึ่งทศวรรษก่อน

ก่อน 8 โมงของเช้าวันอาทิตย์อันแสนสบาย ในวันที่ 26 ธันวาคม 2004 ท้องฟ้ายังเป็นสีคราม จามาเลียห์ กำลังตากผ้า ปล่อยให้ลูกๆ สามคนนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน

ทว่า ภายในชั่ววินาทีเดียวทุกสิ่งทุกอย่างกลับพลิกผันไป

เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากจนทำเอา จามาเลียห์เผลอคิดไปว่ามันจะไหวอยู่อย่างนั้นไม่มีวันหยุดเสียแล้ว เซปตี รังกูติ สามีของเธอและลูกๆ วิ่งถลาออกจากทาวน์เฮาส์เล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทะเลราว 500 เมตร หลังเกิดแรงสั่นสะเทือนได้ไม่กี่นาที พวกเขาก็ต้องตกตะลึง และสับสนอลหม่านกับแผ่นดินไหวความแรง 9.1 ตามมาตรแมกนิจูด

ตอนนั้น จามาเลียห์ได้ยินเสียงคนกรีดร้องจ้าละหวั่นว่า “น้ำมาแล้ว น้ำมาแล้ว”

พ่อแม่ลูกรวมทั้งหมด 5 คนกระโจนแผล็วขึ้นมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะบึ่งรถไปไกลถึงตลาด แต่พวกเขาก็หนีไม่ทันมวลน้ำสีดำที่ก่อตัวสูงลิบอยู่เบื้องหลัง

จามาเลียห์ และลูกชายวัย 8 ขวบถูกคลื่นซัดหายไป ขณะที่พวกเขาถูกความมืดกลืนหายไป แม่คว้ามือลูกชายคนโตเอาไว้ได้ ขณะใช้อีกมือหนึ่งยึดเสาเอาไว้

รังกูติคว้าตัวลูกชายวัย 7 ขวบ และลูกสาววัย 4 ขวบเอาไว้ได้ทัน และฉุดพวกเขาขึ้นไปไว้บนแผ่นไม้ที่ลอยมาตามน้ำ เขาพยายามเกาะมันไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่เมื่อน้ำลด มือของเขาก็ลื่นหลุด ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือกระแสน้ำในทะเลคลั่งพัดพรากลูกน้อยทั้งสองคนไปจากเขา

หลายชั่วโมงถัดมา จามาเลียห์ และลูกชายคนโตก็พบรังกูติเดินอย่างไร้จุดหมายบนถนน เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง และมีเลือดไหล

เมื่อได้มองเห็นสายตาอันว่างเปล่าของสามี เธอก็รู้ได้ในทันที่ว่า เด็กๆ ไม่อยู่กับพวกเขาอีกแล้ว
__

แม้รอดชีวิต ก็ยากที่จะทำใจยอมรับ

หายนะครั้งนั้นสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล จนยากที่ผู้รอดชีวิตจะทำใจยอมรับ หนึ่งในแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดได้ส่งผลให้มหาสมุทรอินเดียฉุดคลื่นยักษ์ความเร็วระดับเครื่องบินเจ็ตขึ้นซัดถล่มชายฝั่งปลายสุดทางทิศตะวันตกของอินโดนีเซีย ประชาชนราว 230,000 คนใน 14 ประเทศล้มตาย โดยเกือบ 1 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตเป็นชาวเขตปกครองพิเศษอาเจะห์ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบร่างของประชาชนราว 37,000 คน ซึ่งคาดว่าน่าจะสูญหายไปในทะเล โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก

เนื่องจากไม่หลงเหลือร่างของบุคคลอันเป็นที่รักไว้ประกอบพิธี พ่อแม่จำนวนมากจึงทำใจได้อย่างยากลำบาก บุคารี ประธานสำนักงานกิจการสังคมเขตปกครองพิเศษอาเจะห์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินโครงการมอบโอกาสให้ครอบครัวได้พบหน้ากันเล่าว่า เด็กทั้งหมด 1,500 คนที่หาตัวพบหลังภัยพิบัติ ส่วนใหญ่ถูกพากลับไปส่งครอบครัว ไม่ก็ฝากฝังให้เพื่อนบ้าน หรือมิตรสหายอุปการะเลี้ยงดู ขณะที่บางส่วนต้องไปอาศัยอยู่ตามสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า

จามาเลียห์ และรังกูติ ใช้เวลาเดือนครึ่งเที่ยวออกตามหาลูกชาย อารีฟ ปราตามา และลูกสาว ราอูดฮาตุล ญันนะห์ ที่หายไป พวกเขาเที่ยวค้นหาตามพื้นที่ต่างๆ รอบบ้าน และออกเดินทางนานหลายชั่วโมงไปตามท้องถนนที่เคยถูกคลื่นซัดถล่ม ซึ่งมุ่งตรงไปยังชายหาดที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บ้านของพวกเขา และถนนทั้งสายอันตรธานหายไปกักระแสน้ำ จนทำให้ทั้งสองพานคิดไปว่า ต่อให้ลูกๆ ยังรอดชีวิตก็คงกลับบ้านไม่ถูก

รังกูติ รู้สึกท้อแท้ และมีสภาพจิตใจบอบช้ำมากจนไม่กล้าเฉียดใกล้ทะเล หรือไม่กล้าแม้กระทั่งมองลงไปในแม่น้ำ พวกเขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่มีเงินรวมทั้งลูกชายคอยดูแล พวกเขาตัดสินย้ายไปอยู่กับญาติซึ่งอาศัยอยู่ห่างออกไปในจังหวัดสุมาตราเหนือ

เมื่อเวลาผ่านไป ครอบครัวนี้ก็เริ่มทำใจยอมรับความจริง และคิดได้ว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป หลังเหตุการณ์สุนามิ จามาเลียห์มีลูกชายวัย 2 ขวบอีกคน และในที่สุด รังกูติเริ่มคลายความโศกเศร้าที่ทำให้เขามีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง กระนั้น ทั้งคู่ก็ยังไม่ละทิ้งความหวังว่าสักวันจะได้พบหน้าลูกที่พลัดพรากจากกัน

จามาเลียห์กล่าวว่า “ฉันเชื่อจากก้นบึ้งของหัวใจ ... ฉันภาวนาทุกคืน ด้วยความรู้สึกผูกพันกับลูกๆ มาก ฉันเชื่อว่า เราจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง”

____
เด็กสาวมาเข้าฝัน

ฤดูร้อนปีนี้ ไซนุดดิน พี่ชายของจามาเลียห์ โทรศัพท์มาแจ้งข่าวที่น่าตกใจ เขาฝันถึงเด็กสาวคนหนึ่งในนครบันดาอาเจะห์ถึง 3 คืนติดต่อกัน เขาฝันว่าเธอทำฮิญาบหลุดจากศีรษะ

ตอนแรก เขาคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกสาวของตัวเอง ทว่า ในเช้าวันที่สามเขาได้แวะไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นเด็กสาวที่มีใบหน้าเหมือนคนที่เขาฝันถึง

เขาเล่าว่า “วิธีการที่เธอส่ายหัว จ้องมอง และยิ้ม ดูเหมือนกับเด็กสาวในฝันทุกอย่าง” พร้อมกับเสริมว่า เขาเชื่อว่าเธอดูเหมือนจามาเลียห์ ตอน 14

รอสมานี ผู้เป็นเจ้าของร้านบอกเขาว่า เด็กสาวคนนี้เป็นเด็กกำพร้าที่รอดชีวิตจากคลื่นยักษ์สึนามิ และเพื่อนสนิทของเขารับไปอุปการะ โดยไซนุดดินกล่าวว่า เขาได้เดินทางไปพบครอบครัวบุญธรรมของเธอในภายหลัง และทราบว่า ชาวประมงคนหนึ่งเป็นคนพบเธอ พร้อมกับเด็กชายอีกคนหนึ่งหลังภัยธรรมชาติยุติลง ที่หมู่เกาะบันยักที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และใช้เวลาเดินทางจากบ้านของจามาเลียห์ ในเมืองมูลาบอห์ ทางรถและเรือราว 6 ชั่วโมงครึ่ง

ทว่า เด็กสาวผู้นี้แทบจะจำเหตุการณ์ก่อนเกิดสึนามิไม่ได้เลย

เธอเล่าว่า “ฉันจำตอนที่เราอยู่สองคนอยู่บนแผ่นไม้ได้ ตอนนั้นฉันอยู่กับพี่ชาย ... มีผู้ชายที่หาดคนนึงผ่านมาเห็น แล้วพาฉันกลับไปที่บ้านของเขา เราเลยมีอันต้องแยกกัน ใครสักคนเก็บฉันไปเลี่ยง ส่วนพี่ชายของฉันไปอยู่กับอีกคน”

เมื่อเดือนกรกฎาคม จามาเลียห์และรังกูตินั่งรถบัสเดินทางไปไกลราว 100 กิโลเมตร เพื่อพบหน้าเด็กสาวคนนี้ ที่มีชื่อว่า “เวเนียติ” เมื่อแรกเห็น ผู้เป็นแม่กล่าวว่า ยากที่จะบอกได้ว่าเธอเป็นลูกของเธอจริงหรือไม่ เพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้ว

นับตั้งแต่ภัยพิบัติสึนามิผ่านพ้นไป เด็กสาวคนนี้ย้ายบ้านมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ทุกครอบครัวที่เธอไปอยู่ด้วยต่างเกี่ยวดองเป็นญาติกับครอบครัวบุญธรรมของเธอ โดยล่าสุดนี้เธออาศัยอยู่ที่อาเจะห์ใต้ ครอบครัวนี้มีฐานะยากจน แต่ก็คอยซื้อเสื้อผ้า และอาหารให้เธอไม่ขาด เธอไม่ค่อยได้ไปเรียน และหลังจากเรียนจบป.4 เธอก็ออกจากโรงเรียนมาทำงานซักรีดเสื้อผ้า เพื่อจุนเจือครอบครัวอีกแรง

จามาเลียห์ขอรับเธอกลับไปอยู่ที่เมืองมูลาบอห์ ซึ่งพวกเขาอาศัยอยู่ตอนเกิดสึนามิ เพื่อฉลองเทศกาลอีฎิลฟิฏรี หรือวันสิ้นสุดเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิม แม่ผู้สิ้นหวังเล่าว่า เธอเฝ้าภาวนาให้ลูกเธอจำเรื่องราวในวัยเด็กได้บ้าง

กระนั้น หลายสิ่งหลายอย่างในมูลาบอห์ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก สถานที่สำคัญๆ และบ้านเรือนส่วนใหญ่ที่น่าจะช่วยเตือนความทรงจำ มีอาคารที่ก่อสร้างด้วยเงินช่วยเหลือหลายพันล้านดอลลาร์จากบรรดาองค์กรให้ความช่วยเหลือนานาชาติผุดขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้ หากเดินทางจากบันดาอาเจะห์ไปยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ โดยใช้เส้นทางถนนริมหาดก็จะใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง

แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญ และยังรอดพ้นจากเกลี่ยวคลื่นสึนามิมาได้ก็คือบ้านของแม่จามาเลียห์ และทันทีที่เด็กคนนี้ได้เห็น เธอก็จำได้ว่าเคยนั่งกินผลไม้เขตร้อนรสหวานฉ่ำที่นี่

“เธอยังจำเล้าไก่และต้นเงาะได้” จามาเลียห์ว่าพลางยิ้มกริ่ม “เธอยังจำตอนนั่งรอยาย นำทุเรียนมาให้กินได้”
___

ผมอยากเจอแม่ แม่ผมอยู่ไหน?

จามาเลียห์ และรังกูติพา เวเนียติกลับไปส่งที่หมู่บ้านตามที่รับปากไว้ แต่อยากพาเธอกลับไปอาศัยอยู่ที่มูลาบอห์เหมือนแต่ก่อน แต่ครอบครัวบุญธรรมยังลังเล และขอให้พิสูจน์ดีเอ็นเอ รวมทั้งหาเอกสารมายืนยันว่า เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของพวกเขาจริง สองสามีภรรยายอมตกลง แต่พวกเขาบอกว่าไม่มีเงินค่าตรวจดีเอ็นเอ

ซาร์วานี ย่าบุญธรรมซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่รับเวเนียติกลับไปอยู่ด้วยเล่าว่า เธอยอมตกลงให้เด็กสาวกลับไปในภายหลัง
จามาเลียห์ (กลาง) หญิงชาวอินโดนีเซียผู้รอดชีวิตจากคลื่นยักษ์สึนามิ เดินเคียงข้าง ราอูดฮาตุล ญันนะห์ (ขวา) และอารีฟ ปราตามา (ซ้าย) เด็กสองคนที่เธอเชื่อว่า เป็นลูกที่พลัดพรากจากเธอไป ขณะหมู่บ้านของเธอ ในเมืองมูลาบอห์ อาเจะห์ ถูกสึนามิซัดถล่มเมื่อปี 2004
เธอกล่าวว่า “เรื่องกลายเป็นว่า เวเนียติเองก็มั่นใจว่า จามาเลียห์เป็นแม่ และรังกูติคือพ่อของเธอ แล้วฉันจะไปว่าอะไรได้ ไอ้เรานี้ก็ไม่อยากพรากลูกพรากแม่”

ในเวลาเดียวกัน สื่อแดนอิเหนาก็ได้รับฟังเรื่องราวของครอบครัวนี้ และติดต่อขอสัมภาษณ์จามาเลียห์ และเด็กสาวที่เธอเรียกว่าลูก ออกโทรทัศน์ ทุกครั้งที่จามาเลียห์เล่าถึงปาฏิหาริย์ที่ชักนำให้พ่อแม่ลูกได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ก็จะมีหยดน้ำตาหยาดรินลงมาบนผ้าคลุมผมของเธอ โดยเธอบอกว่า ช่วงเวลาหลายปีที่พลัดพรากจากลูกคือความทุกข์ทรมาน

การสัมภาษณ์ที่ออกอากาศไปทั่วประเทศครั้งนั้นได้ดึงดูดความสนใจจาก ลานา เบสตีร์ หญิงสาวในจังหวัดสุมาตราตะวันตก ซึ่งเลี้ยงดูเด็กชายเร่ร่อนคนหนึ่งมานานหลายปี หลังจากที่เธอพบเด็กคนนี้ในร้านอินเทอร์เน็ต

เมื่อรูปถ่ายในวัยเด็กของสองพี่น้อง ที่ถ่ายไว้ก่อนเกิดสึนามิถูกนำออกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ เธอก็ต้องตกตะลึง เพราะเด็กในรูปมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเด็กชายที่เธอทราบว่าชื่อ “อูคอก” เธอบอกว่า ตอนนั้น เธอนำภาพจามาเลียห์จากอินเทอร์เน็ตไปให้เด็กหนุ่มดู โดยที่ยังไม่บอกว่า คนในภาพคือใคร

“ใช่เลย คนนี้เลย เลียห์ แม่ผม” เบสตีร์เล่าถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้พูด ภายหลังที่เขาได้เห็นภาพของจามาเลียห์ “ผมอยากเจอแม่ แม่ผมอยู่ไหน”

เมื่อเธอได้รับโทรศัพท์ จามาเลียห์ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “เลียห์” ก็รู้สึกแปลกใจว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นเป็นหนที่สอง เธอรีบเดินทางออกไปหาเด็กหนุ่มคนดังกล่าวทันที แต่ก็ยากที่จะบอกได้อีกเช่นกันว่าเขาคือลูกชายที่หายไปนาน 10 ปีของหรือไม่

เขาผิวคล้ำกว่าอารีฟ ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกเพราะเขาระหกระเหินเร่ร่อนมานานหลายปีจนผิวกรำแดด และต้องนอนนอกบ้าน ที่หน้าผากของเขาปรากฏแผลน้ำร้อนลวกที่ฝังลึกจนเป็นสีขาวเว่อ

อารีฟเคยเป็นนักเรียนที่ได้ที่สอบได้ที่หนึ่งของห้อง แต่เด็กคนนี้ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง ทั้งยังแทบจะพูดภาษาไม่แตกฉานสักภาษา นอกจากนี้ เขายังมีสภาพจิตใจเหมือนเด็กเล็กๆ

เบสตีร์บอกว่า เด็กคนนี้จำช่วงเวลาที่ลอยคอในทะเลสีดำที่กว้างสุดสายตา กับน้องสาวได้ เขาจดจำช่วงเวลาที่ถูกซัดขึ้นมาเกยหาด และถูกครอบครัวหนึ่งรับไปเลี้ยงได้ แต่เขาไม่รู้ว่าที่นั่นคือที่ไหนจากนั้นก็มีวันหนึ่งที่เขานอนตื่นสายโด่งจนหญิงคนหนึ่งนำกาแฟร้อนมาสาดหน้าเขา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตข้างถนนของเขา

จามาเลียห์เล่าว่า “ตอนแรกก็รู้สึกเศร้านะ” แต่ก็รับรู้ได้ว่าเขาคือลูกเธอเพราะจำแผลเป็นที่เขามีตั้งแต่ตอนเด็กๆ ได้ “จากนั้นฉันตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่าลูกฉันจะผ่านอะไรมา ตอนนี้ฉันจะอดทนและดูแลเขา เพราะฉันรอพบหน้าเขามานานเหลือเกิน”
____

ถึงไม่ใช่ลูก ก็ยังรัก

ในทาวน์เฮาส์หลังเล็กๆ บนถนนสายเดียวกันกับที่ครอบครัวนี้เคยพลัดพราก บัดนี้ครอบครัวนี้ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

นับตั้งแต่เด็กสองคนย้ายเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังไม่ราบรื่น ช่วงแรกๆ อารีฟยังคงติดนิสัยเที่ยวขอเงินและอาหารจากเพื่อนบ้าน จามาเลียห์สงสัยว่า เขาอาจยังคงมีแผลในใจ เพราะเด็กที่รอดชีวิตจากสึนามิจำนวนมากจะมีอาการสับสน และมีปัญหาทางจิต นอกจากนี้ บางส่วนยังพูดไม่ได้ และจำชื่อตัวเองไม่ได้

แพทย์บอกเธอว่า ไม่มีอะไรร้ายแรงน่าที่ต้องเป็นห่วง แต่เขาต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาสื่อสารได้คล่องแคล่วแล้ว และเธอวางแผนจะส่งเขาไปเรียนโรงเรียนประจำของอิสลาม เพื่อปลูกฝังความมีวินัย และให้การศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เขา

นอกจากนี้ เธอยังต้องการให้ลูกสาวเรียนให้ทันเพื่อนๆ ในชั้นเดียวกัน เธอเล่าว่ายังต้องถกเถียงกับสมาชิกในครอบครัวบุญธรรมที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการให้ปล่อยให้ เวเนียติ กลับไปอยู่กับพวกเขา แต่ตอนนี้พวกเขายอมตกลงแล้ว

ขณะที่เด็กทั้งสองวิ่งเล่นไปมาบนท้องถนน เพื่อนบ้านเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนเกิดสึนามิ ที่ยังจำพวกเขาได้ต่างลงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเจ้าช่วยนำพาทั้งสองกลับบ้าน โดยเกือบทุกคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ต่างสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และความเจ็บปวดนั้นก็ยังคงฝังลึกในจิตใจ

จามาเลียห์บอกว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ย้ายออกไปจากแถวนี้แล้วบอกว่า ไม่ยุติธรรมเลยที่ครอบครัวของเธอได้รับโอกาสถึงสองครั้ง นอกจากนี้ ยังมีบางคนตั้งคำถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตสำหรับพวกเขา

จามาเลียห์ยืนยันว่า ต่อให้ผลตรวจดีเอ็นเอชี้ว่า เด็กสองคนนี้ไม่ใช่ลูกของพวกเขา แต่ก็จะไม่มีอะไรมาฉุดรั้งความรักที่แม่มีต่อลูกได้

“ฉันรู้สึกเหมือนครอบครัวได้เกิดใหม่” เธอว่าพลางยิ้มกริ่ม “บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในความฝัน ตกลงนี่เรื่องจริงหรือเปล่า แต่ฉันก็ศรัทธาในพระเจ้า และเชื่อว่านี่แหละครอบครัวของฉัน”




กำลังโหลดความคิดเห็น