เอเอฟพี - ยอดนักมวยระดับตำนาน “มูฮัมหมัด อาลี” ผู้ที่ต้องทนทุกข์กับอาการป่วยของโรคพาร์กินสันมานาน 3 ทศวรรษ ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการป่วยด้วยโรคปอดบวม แต่สถานการณ์ล่าสุดอาการทรงตัวแล้ว
บ็อบ กุนเนล โฆษกของอาลีบอกว่า ยอดนักชกวัย 72 ปีผู้นี้ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อวันเสาร์ (20 ธ.ค.) แต่คาดว่าคงจะไม่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลนานนัก
“เขาถูกแอดมิดเมื่อช่วงเช้าด้วยอาการของโรคปอดบวม แต่ไม่ร้ายแรงมาก คิดว่าคงจะอยู่ที่โรงพยาบาลไม่นาน” กุนเนลกล่าว
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังกังวลว่าโรคปอดบวมอาจมีอันตรายเพิ่มมากขึ้นเมื่อมันกลายเป็นโรคแทรกซ้อนของโรคพาร์กินสัน ที่ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางเสื่อมสภาพ ซึ่งอาลีต้องทนทุกข์กับโรคนี้มาตั้งแต่ปี 1984
ทั้งนี้ การเสื่อมสภาพของประสาทส่วนกลางของโรคพาร์กินสัน ทำให้ผู้ป่วยตัวสั่น มีปัญหาในการรักษาสมดุลย์ของร่างกาย สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ
อับบราฮัม ลีเบอร์แมน หมอของอาลี ได้เคยเตือนไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน ว่าพาร์กินสันอาจมีอันตรายร้ายแรงได้ เพราะทำให้ร่างกายอ่อนแอจนล้มป่วยหรืออาจมีปัญหาในการกลืนอาหาร รวมถึงอาจมีโรคแทรกซ้อนอย่างปอดบวมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีตอนนั้น ลีเบอร์แมนบอกว่า อาลียังไม่มีปัญหาในเรื่องการกลืนอาหาร
กุนเนลยังได้บอกด้วยว่า อาลีได้รับการดูแลรักษาโดยทีมแพทย์จำนวนหลายคน แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดมากไปกว่านี้ รวมถึงไม่ได้บอกด้วยว่าอาลีเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลใด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาลีปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนน้อยลง เนื่องจากอาการของโรคพาร์กินสันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือนกันยายน อาลี ได้เข้าร่วมงานประกาศรางวัลด้านมนุษยธรรมที่หลุยส์วิลล์ ในรัฐเคนตักกี้ ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเกิดและมีบ้านอยู่ที่นั่น
อาลี เป็นนักมวยอาชีพในช่วงปี 1960-1981 เขาสร้างความละลานตาให้กับวงการมวยโลก ด้วยท่วงท่าที่พริ้วไหวบนเวที ทั้งยังทำให้ผู้คนพากันหลงรักเขา เพราะความฉลาดและบุคลิกที่ดึงดูดใจ
เขาเอาชนะ “จอร์จ โฟร์แมน” ได้ในการชกครั้งสำคัญ เป็นหนึ่งในไฟต์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของวงการมวย การชกครั้งนั้นถูกขนานนามว่า “เดอะ รัมเบิล อิน เดอะ จังเกิล” จัดขึ้นในปี 1974 ที่ประเทศซาอีร์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
อาลียังมีการชกสุดเร้าใจกับ “โจ ฟราเซียร์” ยอดนักมวยรุ่นเฮฟวีเวต ซึ่งนอกจากทั้งคู่จะฟาดปากกันบนสังเวียนแล้ว ยังมีการดวลกันด้วยวาจานอกเวทีอีกด้วย
เขาไม่กลัวที่จะพูดคุยแสดงความคิดเห็นในเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งเรื่องของสิทธิพลเมืองและเรื่องสงครามเวียดนาม อาลีได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในปี 1964 พร้อมทั้งเปลี่ยนจากชื่อเดิม “แคสเซียส เคลย์” มาเป็น “มูฮัมหมัด อาลี” รวมถึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกองทัพในปี 1967 ด้วยเหตุผลในเรื่องของศาสนา
หลังจากที่เขาปฏิเสธเข้าร่วมกองทัพ ทำให้เขาถูกตัดสินว่าหนีทหารและถูกห้ามชกมวยเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งในปี 1971 ศาลสูงสหรัฐฯ ก็ได้กลับคำตัดสิน
ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวที่ว่าการโดนต่อยที่ศีรษะบนสังเวียนผ้าใบของอาลี ตลอดช่วงระยะเวลาที่ชกมวยอาชีพ 21 ปีนั้นคือสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นโรคพาร์กินสัน แต่ถึงกระนั้น ลีเบอร์แมน หมอของอาลีก็บอกไว้ในเดือนพฤศจิกายนว่า เขาไม่แน่ใจว่าผลกระทบจากการถูกชกจะมีความเชื่อมโยงกับโรคร้ายที่อาลีกำลังเผชิญ
อาลียังได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีความสำคัญระดับโลก ได้จุดไฟคบเพลิงในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปี 1996 รวมถึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตสันติภาพของสหประชาชาติในปี 1998 เขายังได้รับเกียรติสูงสุดในฐานะพลเมืองสหรัฐฯ ด้วยการรับเหรียญเสรีภาพของประธานาธิบดีในปี 2005