เอเอฟพี - ราคาน้ำมันตลาดสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) ร่วงลงต่ำกว่า 60 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีเศษ ยังกังวลอุปทานล้นตลาด ผิดกับวอลล์สตรีทที่ฟื้นตัวจากข้อมูลค้าปลีกที่สดใส ขณะที่ปัจจัยดังกล่าวผลักนักลงทุนปล่อยมือจากสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและทำให้ทองคำปิดลบเล็กน้อย
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 99 เซ็นต์ ปิดที่ 59.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่า 60 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2009 ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดง 56 เซ็นต์ ปิดที่ 63.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กทรงตัวเกือบตลอดทั้งวัน ก่อนจะปรับลงเกือบ 1 ดอลลาร์ ในช่วง 2 ชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย หลังถูกกดดันจากรายงานคลังเชื้อเพลิงสำรองของสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (10 ธ.ค.) ที่พบว่าสต๊อกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น เพิ่มแรงกดดันต่อตลาดที่อยู่ในภาวะอุปทานล้นอยู่ก่อนแล้ว
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวานนี้ (11 ธ.ค.) ขยับขึ้นเล็กน้อย จากตัวเลขค้าปลีกที่สดใส แต่ความคึกคักถูกฉุดรั้งไว้โดยความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ร่วงลงหนักและยังคงปรับลดอย่างต่อเนื่อง
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 63.19 จุด (0.36 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,596.34 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 9.19 จุด (0.45 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,035.33 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 24.13 จุด (0.52 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,708.16 จุด
ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ เผยให้เห็นว่ายอดค้าปลีกในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.7 นับเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลชอปปิ้งช่วงเทศกาลวันหยุดได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนพากันกังวลว่าพวกเฮดจ์ฟันด์ หรือภาคธนาคารจะได้รับผลกระทบอันเจ็บปวดจากการเก็งกำไรในตลาดน้ำมัน ซึ่งปัจจัยนี้ฉุดให้วอลล์สตรีท ปิดบวกได้ไม่มากนัก
ส่วนราคาทองคำในวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) ปิดลบ 2 วันติดต่อกัน หลังตัวเลขค้าปลีกที่สดใสของสหรัฐฯ คลายความกังวลแก่นักลงทุน จนกล้าปล่อยมือจากโลหะมีค่าสีเหลืองที่ถูกมองในฐานะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 3.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,225.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
