เอเอฟพี – สภาคองเกรสมีมติเอกฉันท์ผ่านร่างกฎหมายยกสถานะอิสราเอลขึ้นเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์สำคัญ” ของสหรัฐฯ เมื่อวานนี้(3) เพื่อกระชับสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและรัฐยิวให้แนบแน่น หลังเริ่มปรากฏสัญญาณความไม่ลงรอยในช่วงที่ผ่านมา
กฎหมายความเป็นหุ้นส่วนระหว่างสหรัฐฯ กับอิสราเอล ปี 2014 (United States –Israel Strategic Partnership Act of 2014) กำหนดให้มีการขยายความร่วมมือทั้งในด้านการป้องกันประเทศ ความมั่นคง พลังงาน การวิจัยและการพัฒนา ภาคธุรกิจ เกษตรกรรม การบริหารจัดการน้ำ และวิชาการ
กฎหมายฉบับนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า “สภาคองเกรสมองอิสราเอลเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสหรัฐฯ” และประกาศยืนยัน “การสนับสนุนที่มั่นคง” ต่ออิสราเอลในฐานะรัฐยิว
ร่างกฎหมายซึ่งผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาตั้งแต่เดือนกันยายน จะถูกส่งไปยังประธานาธิบดี บารัค โอบามา เพื่อลงนามประกาศใช้
สหรัฐฯ จะเพิ่มปริมาณคลังอาวุธในอิสราเอลอีกราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อรวมกับปัจจุบันจะกลายเป็น 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้เพนตากอนมีความพร้อมยิ่งขึ้นสำหรับปฏิบัติการทางทหารในตะวันออกกลาง
กฎหมายฉบับนี้ยังเปิดทางให้อิสราเอลสามารถนำอาวุธของอเมริกาไปใช้ในภาวะฉุกเฉิน ดังเช่นปฏิบัติการปกป้องเขตแดน (Protective Edge) ในฉนวนกาซาเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
เมื่อต้นปีนี้ สภาคองเกรสยังได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณสนับสนุนระบบป้องกันขีปนาวุธ “ไอรอนโดม” ของอิสราเอลเป็น 351 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2015 จากเดิม 235 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีที่ผ่านมา
“อิสราเอลเป็นเสมือนแสงสว่างเจิดจ้าในภูมิภาคที่มืดมน” อีเลียต เอ็นเกล ส.ส.เดโมแครตจากรัฐนิวยอร์ก กล่าวในสภาก่อนการโหวต พร้อมระบุว่ากฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้อิสราเอล “คงศักยภาพทางทหารที่เหนือกว่า” ชาติศัตรู
เอ็ด รอยซ์ ประธานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศแห่งสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “เราต้องมั่นใจได้ว่า การสนับสนุนที่เรามีต่ออิสราเอลนั้นเพียงพอที่จะรับมือภัยคุกคามจากภายนอก ทั้งอิหร่านและกลุ่มฮามาส”
กฎหมายฉบับนี้ยังกำหนดให้รัฐบาล โอบามา ต้องเลื่อนสถานะอิสราเอลให้มาอยู่ในกลุ่มพันธมิตรระดับสูงสุด (top-tier) เพื่อส่งออกเทคโนโลยีและสินค้าบางประเภทของสหรัฐฯโดยไม่ต้องมีใบอนุญาต และเข้าอยู่ในกลุ่มประเทศที่พลเมืองสามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขอวีซ่าด้วย