รอยเตอร์ - ผลวิจัยล่าสุดเผย ปรากฏการณ์เอลนีโญเมื่อช่วงปี 1997-98 ซึ่งส่งผลให้น้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น กระทบต่อพัฒนาการด้านร่างกายของเด็กๆ ชาวเปรู ซึ่งถือเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า สภาพอากาศที่แปรปรวนสุดขั้วอาจก่อความเสียหายต่อสุขภาพของมนุษย์ได้อย่างถาวร
งานวิจัยซึ่งมุ่งศึกษาพัฒนาการของเด็กจำนวน 2,095 คนที่เกิดระหว่างปี 1991-2001 ในเขตทัมเบส (Tumbes) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเปรู พบว่าเด็กที่เกิดระหว่างหรือหลังปรากฏการณ์เอลนิโญซึ่งทำให้พื้นที่แถบนั้นเกิดอุทกภัย พืชผลทางการเกษตรเสียหาย และเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น มาลาเรีย และท้องร่วง จะมีร่างกายแคระแกร็นกว่าเด็กปกติ
“ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญค่อนข้างรุนแรง เพราะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร” วิลเลียม เช็คลีย์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เรียบเรียงงานวิจัยชิ้นนี้ ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์โดยระบุว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปีได้รับผลกระทบหนักสุด
ในภาพรวมแล้ว เด็กซึ่งเกิดในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยรุนแรงที่สุดจะมีความสูงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 เซนติเมตรในวัย 10 ขวบ ซึ่งภาวะแคระแกร็นนี้อาจเชื่อมโยงไปถึงศักยภาพด้านร่างกายและจิตใจที่ลดลงเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
“หากสภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลต่อเยาวชนจำนวนไม่น้อยในประเทศหนึ่งๆ ก็อาจจะกระทบต่อชุมชนทั้งหมดในอนาคตด้วย” งานวิจัยซึ่งจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ เปรู และอังกฤษ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ลงวารสาร Climate Change Responses ระบุ
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยแพร่รายงานในเดือนนี้ว่า ฝนที่ตกหนักจากอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งจะเกิดทุกๆ 3-7 ปี และสร้างความปั่นป่วนต่อสภาพอากาศทั่วโลก อาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อโลกร้อน
ผู้แทนจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลกจะร่วมประชุมกันที่กรุงลิมาระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคมนี้เพื่อหาวิธีชะลอความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พื้นที่เขตร้อนในแถบแปซิฟิกเริ่มปรากฏสัญญาณของเอลนีโญระลอกใหม่แล้ว
รายงานอีกฉบับหนึ่งที่เผยแพร่วันนี้(25) ระบุว่า การลงทุนเพื่อส่งเสริมโภชนาการแก่เด็กๆ เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดปัญหาสุขภาพพลเมืองในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเงินทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่เสียไปจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 45 ดอลลาร์
