เอเอฟพี – นักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน 2 คนซึ่งแอบเข้าไปในอู่รถไฟใต้ดินสิงคโปร์และใช้สีสเปรย์พ่นภาพกราฟฟิติใส่ขบวนรถ ถูกตั้งข้อหาทำลายทรัพย์สินซึ่งอาจมีโทษทั้งจำคุกและโบย วันนี้(22)
อันเดรียส วอน คนอร์ และ อัลตอน ฮินซ์ ซึ่งอายุ 21 ปีเท่ากัน ถูกศาลแขวงสิงคโปร์ไต่สวนความผิดฐานบุกรุกและทำลายทรัพย์สิน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 8 พฤศจิกายน
สองหนุ่มเมืองเบียร์ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน หลังจากที่ล่ามแปลข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ฟัง
อัยการแจ้งต่อผู้พิพากษาว่า ตำรวจจะควบคุมตัวนักท่องเที่ยวทั้ง 2 คนไว้จนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน “เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม และทำแผนประกอบคำรับสารภาพ”
เอกสารชี้แจงข้อกล่าวหา ระบุว่า แวน คนอร์ และ ฮินซ์ ได้บุกรุกเข้าไปภายในอู่รถไฟใต้ดินย่านชานเมือง ซึ่งถือเป็นพื้นที่หวงห้ามที่มีรั้วรอบขอบชิด และยังติดลวดหนามไว้ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงนำสีสเปรย์ไปพ่นภาพกราฟฟิติใส่พื้นผิวด้านนอกของขบวนรถไฟ
ชายชาวเยอรมันทั้งสองถูกทางการมาเลเซียส่งตัวกลับไปยังสิงคโปร์เมื่อวานนี้(21) หลังเดินทางไปถึงสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อต่อเครื่องบินไปยังออสเตรเลีย
หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส รายงานว่า หนุ่มมือบอนทั้งสองได้รับวีซาทำงานในออสเตรเลีย
กฎหมายสิงคโปร์ตั้งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับความผิดฐานบุกรุก ส่วนข้อหาทำลายทรัพย์สินอาจมีโทษจำคุกหรือปรับสูงสุด 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และจะต้องถูกโบยระหว่าง 3-8 ครั้ง ซึ่งเป็นวิธีลงโทษที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอาณานิคม
เกาะศูนย์กลางการเงินในเอเชียแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีบทลงโทษที่รุนแรงต่ออาชญากรรมทุกประเภท เมื่อปี 1994
ในปี 1994 กฎหมายว่าด้วยการทำลายทรัพย์สินของสิงคโปร์ตกเป็นข่าวดังทั่วโลก เมื่อ ไมเคิล เฟย์ วัยรุ่นชาวอเมริกัน ถูกศาลสิงคโปร์สั่งโบยในความผิดฐานทำลายรถยนต์และทรัพย์สินสาธารณะ แม้รัฐบาลสหรัฐฯจะร้องขอให้มีการลดหย่อนผ่อนโทษแต่ก็ไม่เป็นผล
ต่อมาในปี 2010 โอลิเวอร์ ฟริกเกอร์ ซึ่งเป็นชาวสวิส ถูกตัดสินจำคุก 7 เดือนและโบยอีก 3 ครั้ง ฐานสร้างความเสียหายต่อรถไฟที่จอดอยู่ในอู่
วิธีเฆี่ยนของสิงคโปร์นั้นจะใช้หวายฟาดลงไปบริเวณต้นขาใต้บั้นท้ายของผู้กระทำความผิด ซึ่งอาจทำให้เนื้อแตก และเกิดรอยแผลเป็นติดตัวไปอีกนาน