เอเอฟพี - ผู้ประท้วงฝักใฝ่ประชาธิปไตยนับร้อยคนรวมตัวกันรอบนอกสถานกงสุลสหราชอาณาจักรบนเกาะฮ่องกงในวันศุกร์(21) กล่าวหาอดีตเจ้าของอาณานิคมล้มเหลวในความพยายามกดดันจีน เปิดทางให้มีการจัดเลือกตั้งอย่างเสรีภาพในเขตบริหารพิเศษ รวมถึงเพิกเฉยต่อการพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพตามที่เคยรับประกันไว้ในสนธิสัญญาร่วมฉบับหนึ่ง
การชุมนุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจาก นายคริส แพทเทน ผู้ว่าการฮ่องกงคนสุดท้ายของสหราชอาณาจักร เรียกร้องอังกฤษเอาอย่างสหรัฐฯ เพิ่มความแข็งขันในการสนับสนุนเหล่าผู้ประท้วงฝักใฝ่ประชาธิปไตย ที่ปักหลักชุมนุมมานานเกือบ 2 เดือน
มีผู้ประท้วงมากกว่า 100 คนรวมตัวกันด้านนอกของสถานกงสุล บางคนโบกร่มสีเหลืองที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงบุกยึดถนนของฝ่ายนิยมประชาธิปไตยที่ทำให้หลายพื้นที่ของเมืองต้องเป็นอัมพาต "สหราชอาณาจักร มีพันธะที่ต้องคลี่คลายปัญหานี้ สหราชอาณาจักรมีส่วนรับผิดชอบอยู่ครึ่งหนึ่งตามที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วม" ดาเนียล หม่า นักศึกษาวัย 21 ปีบอกกับผู้สื่อข่าว
สหราชอาณาจักรและจีนลงนามในแถลงการณ์ร่วมเมื่อปี 1984 ข้อตกลงที่ให้สิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพต่างๆที่ไม่อาจหาได้บนแผ่นดินใหญ่ นอกจากนี้ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมและเศรษฐกิจปัจจุบันของฮ่องกงเป็นเวลา 50 ปี หลังการส่งมอบในปี 1997
อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ประท้วงฝักใฝ่ประชาธิปไตยมองว่าปักกิ่งละเมิดข้อตกลงดังกล่าวและกฎหมายพื้นฐาน (Basic Law) หลังจากประกาศในเดือนสิงหาคมว่า ให้ชาวฮ่องกงสามารถออกเสียงลงคะแนนเพื่อเลือกผู้นำของตนเองได้ในการเลือกตั้งผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษปี 2017 ทว่าผู้สมัครทั้งหมดต้องผ่านการอนุมัติมาจากคณะกรรมาธิการที่มีแดนมังกรอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผู้ประท้วงคร่ำครวญว่ามันเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม
"ประชาธิปไตยควรอยู่บนพื้นฐานเจตนารมณ์ของชาวฮ่องกง" หม่ากล่าว "พวกเขาเคยให้สัญญาว่า 50 ปีเราจะมีอำนาจปกครองตนเองระดับสูง สหราชอาณาจักรไม่อาจปิดปากเงียบได้ ถ้าคุณเงียบ ก็เท่ากับว่าคุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปีศาจ"
หลังจากส่งมอบหนังสือร้องเรียนแก่เจ้าหน้าที่สถานกงสุลแล้ว นายหม่าบอกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะปักหลักอยู่ด้านนอกจนกว่าสหราชอาณาจักรจะประณามจีนอย่างเป็นทางการต่อกรณีละเมิดแถลงการณ์ร่วม นอกจากนี้แล้วยังต้องการพบกับตัวแทนของคณะส.ส.สหราชอาณาจักรที่มีกำหนดเดินทางเยือนฮ่องกงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ด้านโฆษกของสถานกงสุลบอกกับเอเอฟพีว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักร ขอปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อคำกล่าวหาว่าพวกเขาเพิกเฉยต่อเหตุละเมิดแถลงการณ์ร่วม
