รอยเตอร์ - มอสโกและเคียฟในวันพฤหัสบดี (23 พ.ย.) ต่างกล่าวหากันและกันไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ขณะที่รัสเซียเตือนหากคืนสู่ความเป็นปรปักษ์กับพวกกบฏแบ่งแยกดินแดนนิยมรัสเซียทางภาคตะวันออก ยูเครนก็อาจต้องเผชิญกับหายนะเลวร้าย
เคียฟกล่าวหามอสโก ส่งทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าช่วยเหลือกบฏเพื่อเปิดฉากรุกรานรอบใหม่ในความขัดแย้งที่คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 4,000 ศพ
ท่ามกลางความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเหตุละเมิดข้อตกลงหยุดยิงบ่อยครั้ง กรณีล่าสุดเกี่ยวกับรายงานขบวนทหารไม่ทราบฝ่ายกำลังเดินทางจากพรมแดนรัสเซียข้ามไปยังยูเครน โหมกระพือความกังวลว่าข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามกันเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา อาจพังครืนลง
อย่างไรก็ตาม รัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าพวกเขาส่งทหารและรถถังข้ามพรมแดนเข้าไปยังยูเครนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พร้อมยืนยันข้อตกลงหยุดยิงที่ผ่านการลงนามที่กรุงมินสก์ คือทางออกเดียวของความขัดแย้งนี้ “เราต้องไม่ปล่อยให้ข้อตกลงหยุดยิงพังครืน มันจะเป็นหายนะต่อสถานการณ์ในยูเครน” เล็กซานเดอร์ ลูคาเชวิช โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกล่าว
องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป ซึ่งทำหน้าที่สังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิง รายงานว่าพบเห็นขบวนทหารและรถถังไม่ทราบฝ่ายเดินทางมาจากชายแดนรัสเซีย ส่วนผู้สื่อข่าวรอยเตอร์เสริมว่าขบวนดังกล่าวมุ่งตรงไปยังเมืองโดเนตสก์ ป้องปราการของฝ่ายกบฏทางภาคตะวันออกของยูเครนในวันอังคาร (11 พ.ย.) ในนั้นยังรวมไปถึงปืนใหญ่และระบบป้องกันภัยทางอากาศด้วย
เคียฟซึ่งเสริมการป้องกันทางภาคตะวันออกของประเทศเพื่อรับมือกรณีมีการจู่โจมรอบใหม่ บอกว่ารายงานเกี่ยวกับการพบเห็นขบวนรถนั้น คือข้อมูลที่สนับสนุนคำกล่าวหาของพวกเขาที่ว่ารัสเซียกำลังเสริมกำลังให้แก่พวกกบฏ "เป็นไปได้อย่างสูงที่ทหารรัสเซียจะรุกรานดินแดนยูเครนอีกรอบ มันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยยูเครนกล่าว
ส่วนตัวแทนของยูเครนประจำองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนออสเตรียในวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.) ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะพูดถึงข้อตกลงหยุดยิง โดยเฉพาะมีการละเมิดข้อตกลงโดยฝ่ายกบฏมากถึง 2,400 ครั้ง