เอเอฟพี - มาห์มุด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ ออกมาระบุในวันนี้ (30 ต.ค.) ว่าการที่อิสราเอลปิดพื้นที่กลุ่มอาคารมัสยิด “อัล-อักซอ” ไม่ให้ผู้ใดเข้าไป หลังจากมีเหตุยิงชาวยิวรายหนึ่งในพื้นที่ดังกล่าว เทียบเท่ากับเป็นการประกาศสงคราม
นาบิล อาบู รูเดย์นา โฆษกของผู้นำปาเลสไตน์ได้อ้างคำพูดของอับบาส ที่ระบุว่า การทำตัวเป็นอันตรายมากขึ้นของชาวอิสราเอล คือการประกาศสงครามต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาติอาหรับและอิสลาม
“เราต้องการให้อิสราเอลรับผิดชอบต่ออันตรายที่เพิ่มมากขึ้นในเยรูซาเล็ม อันเป็นผลมาจากการปิดมัสยิด อัล-อัคซอ เมื่อเช้านี้” เขาบอกกับเอเอฟพี
สถานที่ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับ 3 ของศาสนาอิสลาม แต่ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวที่เรียกขานกันว่าเนินพระวิหารด้วยเช่นกัน เพราะครั้งหนึ่งเคยมีวิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวสองหลังตั้งอยู่บริเวณนี้
แม้ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมจะสามารถเข้ามาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ได้ แต่ชาวยิวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้สวดภาวนาที่บริเวณนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน
“การปิดพื้นที่เป็นการกระทำที่อันตรายและเป็นการท้าทายที่อาจนำไปสู่สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น สร้างความไม่มั่นคงและก่อให้เกิดบรรยากาศเชิงลบ ทางการปาเลสไตน์จะใช้มาตรการทางกฎหมายทั้งหมดเพื่อทำให้อิสราเอลต้องรับผิดชอบและหยุดการกระทำเช่นนั้น” เขากล่าว
อิสราเอลได้สั่งให้ปิดพื้นที่ดังกล่าวเมื่อช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) ห้ามใครเข้าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือปาเลสไตน์ หลังจากที่มีเหตุยิงกันในช่วงกลางคืน โดยมีชายคนหนึ่งขับจักรยานยนต์แล้วพยายามใช้ปืนยิงนักเคลื่อนไหวชาวยิว ผู้ซึ่งเรียกร้องสิทธิ์ให้ชาวยิวสามารถสวดภาวนาใน อัล-อัคซอ
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ตำรวจได้บุกบ้านของผู้ต้องสงสัยชาวปาเลสไตน์ว่าเป็นมือปืนผู้ก่อเหตุ ทำให้เกิดการยิงต่อสู้กัน จนกระทั่งชายคนนั้นเสียชีวิต
เยรูซาเล็มตะวันออก ซึ่งถูกยึดครองโดยอิสราเอลในสงคราม 6 วันช่วงปี 1967 ต่อมาก็ถูกผนวกเข้าไปโดยที่ไม่ได้มีการยอมรับจากนานาชาติ ได้เกิดเหตุรุนแรงตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนที่ขว้างปาก้อนหินกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เป็นประจำ