เอเอฟพี - กลุ่มติดอาวุธโบโกฮารัมในไนจีเรียบังคับให้หญิงสาวและเด็กหญิงที่ถูกลักพาตัวออกไปเป็น “แนวหน้า” ร่วมก่อความไม่สงบ รายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนเผยวันนี้ (27) หลังจากที่มีเหยื่อกลุ่มใหม่ถูกลักพาตัวไปสดๆ ร้อนๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรียเมื่อไม่กี่วันก่อน
ฮิวแมนไรต์วอตช์ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน อ้างถึงประสบการณ์ของอดีตเหยื่อลักพาตัวหลายคนที่ยอมเปิดใจเล่าเรื่องที่พวกเธอถูกล่วงละเมิดทั้งร่างกายและจิตใจ ระหว่างที่ตกอยู่ในเงื้อมมือโบโกฮารัม
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ได้ลักพาตัวเด็กๆ 30 คนในรัฐบอร์โน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเด็กหญิงวัยเพียง 11 ขวบ และเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ก็มีผู้หญิงและเด็กอีกอย่างน้อย 40 คนถูกลักพาตัวไปที่รัฐอาดามาวาซึ่งอยู่ติดกัน
เหตุการณ์ลักพาตัวทั้ง 2 ครั้ง ตลอดจนความรุนแรงที่ยังปะทุไม่หยุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรียและภาคเหนือของแคเมอรูน ทำให้สังคมเริ่มเสื่อมศรัทธาในคำกล่าวอ้างของรัฐบาลอาบูจาที่ว่าได้ทำข้อตกลงหยุดยิงและข้อตกลงปล่อยตัวเด็กนักเรียนหญิง 219 รายที่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้ว
ฮิวแมนไรต์วอตช์อ้างคำบอกเล่าของหญิงวัย 19 ปีคนหนึ่งซึ่งถูกขังอยู่ในค่ายของกลุ่มโบโกฮารัมนานถึง 3 เดือนเมื่อปีที่แล้ว โดยเธอบอกว่าเคยถูกบังคับให้เข้าร่วมปฏิบัติการก่อความไม่สงบ
“พวกเขาสั่งให้ฉันถือลูกปืนและนอนราบอยู่บนพื้นหญ้าขณะที่พวกเขาต่อสู้ จากนั้นก็จะมีคนกลับเข้ามาเอากระสุนเพิ่ม และการสู้รบก็จะดำเนินต่อไปตลอดวัน” เธอบอก
“เมื่อเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเดินทางมาถึงและเริ่มยิงตอบโต้เรา ฉันตกใจกลัวมาก พวกนั้นก็เลยลากฉันไปกับพื้นและพาหนีกลับเข้าไปในค่าย”
เธอเล่าต่อไปว่า ครั้งหนึ่งเธอถูกยื่นมีดให้สังหาร 1 ใน 5 อาสาสมัครเฝ้าระวังพลเรือนซึ่งถูกจับมาที่ค่ายของโบโกฮารัม
“ฉันกลัวจนสั่นและไม่กล้าลงมือ สุดท้ายเมียของหัวหน้าค่ายก็เลยเอามีดไปจัดการฆ่าเขาแทน”
เหตุระเบิดฆ่าตัวตายหลายระลอกเมื่อช่วงต้นปีซึ่งพบว่าผู้ก่อเหตุเป็นสตรี ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าโบโกฮารัมอาจจะบังคับให้ผู้หญิงและเด็กที่ถูกจับเป็นตัวประกันออกมาก่อเหตุแทน
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะสรุปได้ว่ามือระเบิดเหล่านั้นเป็นเหยื่อที่ถูกโบโกฮารัมลักพาตัวไป หรือเป็นผู้หญิงที่ถูกเกลี้ยกล่อมจนสมัครใจมาเป็นพวกเอง
เมื่อเดือนกรกฎาคม เจ้าหน้าที่ได้จับกุมเด็กหญิงวัย 10 ขวบคนหนึ่งซึ่งมีระเบิดผูกติดอยู่บนร่างกายที่รัฐคัตสินา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของไนจีเรีย
อดีตเหยื่อโบโกฮารัมอีกคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับฮิวแมนไรต์วอตช์ว่า เธอเคยเห็นเหยื่อลักพาตัวจากเมืองชีบอคถูกใช้ให้หุงหาอาหารและทำความสะอาดแทนผู้หญิงและเด็กสาวรายอื่นๆ ที่ได้รับ “การปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษเพราะหน้าตาสะสวย”
เหยื่อหลายคนยังเล่าถึงการข่มขืนและการทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นภายในค่ายโบโกฮารัม โดยหนึ่งในนั้นเล่าว่า เธอเคยถูกกลุ่มติดอาวุธเอา “บ่วง” คล้องคอ และขู่จะฆ่าทิ้งหากไม่ยอมเปลี่ยนไปรับศาสนาอิสลาม
เด็กหญิงวัย 15 ปีคนหนึ่งระบุว่า เธอเคยถูกบังคับให้แต่งงานกับสมาชิกกลุ่มโบโกฮารัม และเมื่อเธอโอดครวญว่าตนเองยังเด็กเกินไป ผู้บัญชาการโบโกฮารัมก็อ้างว่า ลูกสาววัย 5 ขวบของเขาเพิ่งจะแต่งงานไปเมื่อปีที่แล้ว
รายงานฉบับนี้เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ผู้หญิงและเด็กจำนวน 30 คนระหว่างเดือนเมษายน ปี 2013 จนถึงเมษายนปีนี้ ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กหญิง 12 คนจากทั้งหมด 57 คนที่สามารถหลบหนีออกมาได้ระหว่างที่กลุ่มโบโกฮารัมบุกเข้าไปลักพาตัวนักเรียนหญิงในเมืองชีบอค รัฐบอร์โน โดยล่าสุดยังไม่ทราบชะตากรรมของเด็กหญิงอีก 219 คนที่ถูกจับไปได้สำเร็จ
โบโกฮารัมใช้วิธีลักพาตัวผู้หญิงและเด็กมาเป็นเครื่องต่อรองกับรัฐบาล ตั้งแต่เริ่มก่อความไม่สงบในปี 2009 ซึ่งฮิวแมนไรต์วอตช์ชี้ว่า รัฐบาลไนจีเรียแทบจะไม่มีมาตรการป้องกัน หรือจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษเลย