เอเอฟพี - ฟิลิปปินส์ปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ให้ส่งเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ไปยังภูมิภาคที่มีการระบาดของอีโบลา โดยทางกระทรวงสาธารณสุขชี้การเพิ่มมาตรการป้องกันโรคระบาดในท้องถิ่นมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
ที่ผ่านมา สหประชาชาติได้เรียกร้องให้ทั่วโลกส่งความช่วยเหลือในการต่อสู้กับโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 4,000 รายในปีนี้ ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่อยู่ในกินี ไลบีเรียและเซียร์ราลีโอน
เอนริเก้ โอนา รัฐมนตรีสาธารณสุขฟิลิปปินส์ ได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ขอให้ฟิลิปปินส์ร่วมให้ความช่วยเหลือด้วยการจัดส่งบุคลากรทางการแพทย์ลงพื้นที่
ในตอนนั้น โอนาบอกว่า ฟิลิปปินส์กำลังพิจารณาถึงเรื่องการจัดส่งเจ้าหน้าที่แพทย์อาสาจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือแอฟริกาตะวันตก พร้อมทั้งบอกด้วยว่า ถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของประเทศ ที่จะต้องตอบรับการร้องขอความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม ลินดอน ลี ซุย โฆษกของกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ได้ออกมาระบุในวันนี้ (17 ต.ค.) ว่าฟิลิปปินส์ยกเลิกการส่งบุคลากรทางการแพทย์ไปช่วยเหลือ โดยจะหันไปให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของเงินและการสนับสนุนด้านอื่นแทน
"ณ เวลานี้ เราไม่อาจส่งบุคลากรเข้าไปช่วยเหลือได้ แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่ได้ปิดโอกาสความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ เราต้องยกระดับการดูแลในประเทศก่อนเป็นอันดับแรก จึงจะสามารถส่งคนไปช่วยเหลือได้" เขากล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับเจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลก
"เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ของฟิลิปปินส์หลายร้อยคน จะเข้ารับการฝึกฝนเพื่อรับมือฉุกเฉินกรณีที่เกิดการแพร่ระบาดของอีโบลาภายในประเทศ" ลี ซุย กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก , คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ , องค์การแพทย์ไร้พรมแดน และจากมหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกิ้น จะเป็นผู้ให้การฝึกสอนแก่เจ้าหน้าที่แพทย์ของฟิลิปปินส์ เกี่ยวกับวิธีที่เหมาะสมในการใช้ชุดป้องกัน การรับมือกับผู้ป่วย การติดตามผู้ที่สัมผัสผู้ป่วย รวมถึงการควบคุมการระบาด
ลี ซุย ระบุว่า โรงพยาบาลของรัฐกว่า 20 แห่งจะได้รับการปรับปรุงเพื่อรับมือกับผู้ป่วยอีโบลา โดยมี 3 แห่งที่ถูกออกแบบให้เป็นศูนย์รักษาเฉพาะทาง นอกจากนี้รัฐบาลยังขอให้โรงพยาบาลเอกชนพิจารณารับผู้ป่วยอีโบลาไปดูแลรักษาด้วย
"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราต้องหาวิธีรับมือกับโรดร้ายที่เป็นภัยคุกคามอย่างอีโบลา เพราะเราเคยเจอกับซาร์และไข้หวัดนกมาก่อนแล้ว" เขากล่าว
จูลีย์ ฮอลล์ ตำแทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งร่วมแถลงข่าวอยู่ด้วย ระบุว่า ฟิลิปปินส์มีพื้นฐานที่เข้มแข็งในการรับมือกับโรคระบาดภายในประเทศ หลังจากที่เคยผ่านประสบการณ์ควบคุมโรคซาร์มาแล้ว แถมยังมีเครือข่ายทีมรับมือฉุกเฉินประจำพื้นที่ต่างๆ ในกรณีที่เกิดการระบาดของโรคร้าย