xs
xsm
sm
md
lg

เอฟบีไอเผย “แฮกเกอร์จีน” ทำสหรัฐฯ สูญเม็ดเงินปีละ “หลายพันล้านดอลลาร์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ)
เอเอฟพี – บรรดาแฮกเกอร์จีนซึ่งเปิดสงครามไซเบอร์ล้วงข้อมูลลับของสหรัฐฯ ทำให้บริษัทอเมริกันต้องสูญเสียเม็ดเงินปีละนับพันๆ ล้านดอลลาร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) แถลงเมื่อวานนี้(5)

เจมส์ โคมีย์ ผอ.เอฟบีไอ เปิดเผยต่อรายการ 60 minutes ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า จีนเป็นประเทศที่ล้วงความลับของบริษัทอเมริกันมากที่สุด และบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ล้วนตกเป็นเหยื่อแฮกเกอร์แดนมังกรเกือบทั้งสิ้น

“บริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ จะมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกที่ถูกจีนเจาะข้อมูล และกลุ่มที่สองคือพวกที่ตกเป็นเหยื่อจีนเช่นกัน แต่ยังไม่รู้ตัว” โคมีย์ ระบุ พร้อมชี้ว่า มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอันเป็นผลมาจากสงครามไซเบอร์ที่จีนเป็นผู้ก่อ “ไม่อาจประเมินได้” แต่คาดว่าจะสูงเป็น “พันๆ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประเทศใดบ้างที่เจาะระบบเพื่อล้วงข้อมูลลับของสหรัฐฯ ผอ.เอฟบีไอ ก็ตอบว่า “ผมขอไม่เอ่ยชื่อทุกประเทศในลิสต์ก็แล้วกัน แต่บอกได้ว่ารายใหญ่ที่สุดก็คือ จีน”

โคมีย์ อ้างถึงกรณีที่สหรัฐฯ กล่าวหาทหาร 5 นายในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนว่าเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทอเมริกันเพื่อล้วงความลับทางการค้าเมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งทำให้ปักกิ่งโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก และยังถือเป็นคดีจารกรรมไซเบอร์คดีแรกที่มีการเอาผิดต่อผู้กระที่เป็นคนของรัฐ (state actor)

วอชิงตันอ้างว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนได้เจาะระบบคอมพิวเตอร์ของสหรัฐฯ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทของจีนเอง ส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียตำแหน่งงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมเหล็ก พลังงานแสงอาทิตย์ และอื่นๆ

“พวกเขาเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของอเมริกาอย่างอุกอาจและกว้างขวาง เพื่อล้วงข้อมูลลับที่จะช่วยให้บริษัทจีนได้ประโยชน์... โดยไม่ต้องคิดค้นอะไรขึ้นเอง” โคมีย์ กล่าว

เขายอมรับว่า การตรวจจับพฤติกรรมของแฮกเกอร์จีนไม่ใช่เรื่องง่าย

“จะว่าไปพวกเขาก็เหมือนโจรเมาเหล้าที่เข้ามาเตะประตูบ้านคุณพัง หยิบแจกันมาทุ่มใส่พื้น แล้วก็แบกโทรทัศน์ในบ้านคุณออกไปหน้าตาเฉย”

โคมีย์ ชี้ว่า แฮกเกอร์พวกนี้มีกันหลายคน และดูเหมือนจะใช้ยุทธศาสตร์ “กระจายกำลังเข้าไปทุกที่ทุกเวลา พวกเขาไม่มีทางหยุดเราได้หรอก”

สัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารยักษใหญ่ เจพี มอร์แกน ออกมาระบุว่า การเจาะข้อมูลของแฮกเกอร์ที่ทางธนาคารออกมาเปิดเผยเมื่อเดือนสิงหาคม ส่งผลให้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าประเภทบุคคลทั่วไป 76 ล้านราย และลูกค้าองค์กรธุรกิจอีกราว 7 ล้านบริษัท รั่วไหลออกไป ซึ่งรวมถึงชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์

กำลังโหลดความคิดเห็น