เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ออกคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลแดนหมีขาวทั่วประเทศยุติการใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัท “ไมโครซอฟท์” จากสหรัฐฯ รวมถึงสั่งยกเลิกการใช้ระบบปฏิบัติการ “วินโดวส์” ในภาครัฐ หวั่นข้อมูลลับรั่วไหล ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามอย่างหนักระหว่างรัฐบาลมอสโกและวอชิงตัน จากผลพวงของวิกฤตในยูเครน
รายงานซึ่งอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานความมั่นคงกลางแห่งรัสเซียหรือหน่วย “เอฟเอสบี” ระบุว่า ประธานาธิบดีปูตินได้ออกคำสั่งเป็นการภายในตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมาซึ่งระบุให้หน่วยงานของรัฐบาลรัสเซียทุกแห่งทั่วประเทศยกเลิกการจัดซื้อซอฟต์แวร์เพิ่มเติมจากบริษัทไมโครซอฟต์ ยักษ์ใหญ่ด้านไอทีของสหรัฐฯ รวมถึง สั่งให้มีการถอดระบบปฏิบัติการ “วินโดวส์เวอร์ชันต่างๆ” ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานราชการทั่วแดนหมีขาว
เจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อและตำแหน่งของเอฟเอสบีระบุว่า ประธานาธิบดีปูตินระบุถึงความไม่ปลอดภัยตลอดจนความเป็นไปได้ที่อาจเกิด “การรั่วไหลของข้อมูลลับ” ของรัสเซียจากการใช้ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟท์
รายงานข่าวระบุว่า คำสั่งดังกล่าวของปูตินส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากไมโครซอฟต์ของหน่วยงานรัฐบาลรัสเซียในช่วงเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาลดลงเหลือเพียงแค่ 7 ออเดอร์ เมื่อเทียบกับคำสั่งซื้อรวม 31 ออเดอร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ด้านแหล่งข่าวทางการทูตในกรุงมอสโกเผยว่า ประธานาธิบดีปูติน ผู้นำรัสเซียวัย 61 ปี ต้องการให้หน่วยงานของรัฐบาลยุติการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของไมโครซอฟท์ รวมถึงบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติอเมริกันอื่นๆ อย่างสิ้นเชิงภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ทางกระทรวงการสื่อสารและสื่อสารมวลชนของรัสเซียกำลังร่างแผน “โรดแมป” ที่จะนำไปสู่ “การปลดแอกตัวเองด้านซอฟต์แวร์” ของรัสเซียในอนาคต
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในภาวะเสื่อมทรามที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น จากผลพวงของวิกฤตในยูเครนที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่ารัสเซียอยู่เบื้องหลังความไม่สงบในชาติเพื่อนบ้านของตนที่กลายสภาพเป็นดินแดนแห่งสงครามกลางเมือง