เอเอฟพี – ฤดูการล่าโลมาที่เมืองไทจิ ซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ทั่วโลกติเตียน เริ่มขึ้นแล้วในวันนี้ (1) ทว่าสภาพอากาศที่เลวร้ายน่าจะทำให้การล่าสังหารโลมาล่าช้าออกไป เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเผยกับเอเอฟพี
กิจกรรมล่าโลมาประจำปี ซึ่งประชาชนจากเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นแห่งนี้จะต้อนโลมาหลายร้อยตัวเข้าสู่อ่าวที่และลงมือฆ่ามันอย่างโหดเหี้ยว กลายเป็นที่ความสนใจของคนทั่วโลกเมื่อปี 2010 เมื่อมันกลายมาเป็นเนื้อหาของภาพยนตร์สารคดีรางวัลออสการ์เรื่อง “The Cove”
“ฤดูการล่าปลาโลมาซึ่งกินเวลาประมาณ 6 เดือนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ (1) และจะดำเนินต่อไปจนถึงช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์” เจ้าหน้าที่สมาคมประมงของเมืองไทจิกล่าว พร้อมเสริมว่า ฤดูสำหรับการล่าวาฬนำร่องซึ่งเริ่มขึ้นในวันนี้เช่นกันจะยังมีไปจนถึงเดือนเมษายน อย่างไรก็ตามสภาพอากาศที่เลวร้ายในวันนี้ทำให้ชาวประมงไม่สามารถออกล่าได้
กลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเฝ้าสังเกตการณ์การล่าครั้งนี้เหมือนกับที่เคยทำมาในปีก่อนๆ เจ้าหน้าที่ระบุ
เมื่อฤดูที่แล้ว นักเคลื่อนไหวจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ซี เชพเพิร์ด (Sea Shepherd) ซึ่งเรียกตนเองว่า “Cove Guardians” ได้ถ่ายทอดสดวีดีโอการล่าโลมาของที่นี่
เมื่อช่วงต้นปีนี้ การล่าสัตว์อย่างโหดร้ายเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกอีกครั้ง หลักจาก แคโรไลน์ เคนเนดี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำญี่ปุ่น ได้ทวีตข้อความแสดงความกังวลเกี่ยวกับ “ความไร้มนุษยธรรม” ของการล่าดังกล่าว
ผู้ที่เห็นด้วยกับกิจกรรมการล่าวาฬระบุว่า นี่เป็นวัฒนธรรม และชี้ว่าสัตว์เหล่านี้ที่เป็นเป้าหมายการล่าไม่ได้ถูกคุกคามจนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นก็ออกมากล่าวย้ำในจุดยืนนี้ด้วยเช่นกัน
พวกเขากล่าวว่า การต่อต้านของฝ่ายตะวันตกเป็นการเสแสร้งและมองข้ามจำนวนของวัว , หมู และแกะ ที่ถูกสังหารมากมายกว่านี้หลายเท่าตัวเพื่อสนองความต้องการบริโภคของผู้คนในที่อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์ชี้ว่า ความต้องการบริโภคเนื้อวาฬและโลมามีน้อยมาก และเนื้อของพวกมันยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารปรอทที่เป็นอันตรายด้วย
พวกเขาชี้ว่า การล่าเช่นนี้เป็นประโชน์ต่อชาวบ้าน เพียงเพราะว่าโลมาเป็นๆ สามารถทำเงินได้สูงเมื่อขายให้กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและคณะแสดงโลมา
เมื่อวันอาทิตย์ (31) ประชาชนราว 30 คนได้ออกมาเดินขบวนในกรุงโตเกียวเพื่อประท้วงการล่านี้ ซึ่งพวกเขาชี้ว่าเป็นการทำให้ชื่อเสียงของญี่ปุ่นในต่างแดนต้องด่างพร้อย