เอเจนซีส์ - จอห์น แคร์รีย์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯยืนยันการปล่อยตัวของปีเตอร์ ธีโอ เคอร์ติส (Peter Theo Curtis) นักข่าวสหรัฐฯที่ถูกจับในซีเรียนานถึง 2ปี หลังจากรัฐบาลการ์ตาได้ยื่นมือเข้ามาเป็นตัวกลาง และครอบครัวเคอร์ติสแถลงไม่มีการจ่ายเงินค่าไถ่ชีวิต ด้านSAS หน่วยรบพิเศษอังกฤษบินไปยังตอนเหนือของอิรักเพื่อเข้าร่วมกับอิรักและกองทัพเคิร์ดในการไล่ล่า “จอห์น” นักรบญิฮัดสัญชาติอังกฤษลงมือตัดหัวเจมส์ เฟอร์รี นักข่าวสหรัฐฯ หลัง GCHQหน่วยงานความมั่นคงอังกฤษใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทียบเสียงชี้ตัวคนร้าย
เดอะการ์เดียน รายงานในวันอาทิตย์(24)ว่า จอห์น แคร์รีย์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯยืนยันเมื่อวานนี้(24)ถึงการปล่อยตัวปีเตอร์ ธีโอ เคอร์ติส (Peter Theo Curtis) นักข่าวฟรีแลนซ์ชาวสหรัฐฯในซีเรีย หลังจากที่เขาถูกลุ่มก่อการร้าย จาบาต อัล-นูสรา (Jabhat al-Nusra) เกี่ยวพันกับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์จับกุมเป็นเวลา 2 ปี
แคร์รีย์ให้สัมภาษณ์ล่าสุดถึงการปล่อยตัวนักข่าวสหรัฐฯในขณะที่สังคมสหรัฐฯถกเถียงถึงมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมในการตอบโต้กลุ่ม IS ที่ได้เผยแพร่คลิปประหารเมส์ โฟลีย์ ช่างภาพนักข่าวสหรัฐฯ วัย 40 ปีในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแคร์รีย์เผยว่า ช่วงเวลาที่เคอร์ติสอยู่ใต้การควบคุมของอัลกออิดะห์นั้น “โหดร้าย”
ด้านแนนซี เคอร์ติส ที่เป็นตัวแทนของตระกูลเคอร์ติสได้ออกแถลงการณ์ว่า “ครอบครัวเคอร์ติสรู้สึกเป็นหนี้ต่อรัฐบาลกาตาร์และรัฐบาลสหรัฐฯ และรวมไปถึงบุคคลและหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนจำนวนมากที่มีส่วนช่วยในการเจรจาจนนำไปสู่การปล่อยตัวปีเตอร์ ธีธอ เคอร์ติส ที่เป็นทั้งลูกชาย พี่ชาย และลูกพี่ลูกน้องของสมาชิกตระกูลเคอร์ติส และทางเราไม่ขอที่จะพูดถึงในรายละเอียดการเจรจา แต่ทางครอบครัวได้รับทราบจากรัฐบ่าลการ์ตาที่ยื่นมือช่วยเหลือปีเตอร์ เคอร์ติส ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม โดยไม่ต้องการให้มีการจ่ายค่าไถ่ชีวิตเข้าเกี่ยวข้อง”
แ ละแหล่งข่าวการ์ตาได้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า “หน่วยการข่าวกรองกาตาร์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังดีลการปล่อยตัวนักข่าวสหรัฐฯครั้งนี้”
ทั้งนี้อัลญาซีเราะห์ ที่มีฐานอยู่ในการร์ตาเป็นสำนักข่าวแรกที่รายงานข่าวการปล่อยตัวปีเตอร์ เคอร์ติส โดยสื่อการ์ตารายงานว่า เคอร์ติสได้ถูกส่งมอบให้ตัวแทนขององค์การสหประชาชาติ อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวของรอยเตอร์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดในข้อตกลงที่รัฐบาลการ์ตาเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย โดยแหล่งข่าวเปิดเผยเพียงว่า “มีเพียงแต่ว่าต้องเจรจาให้ถูกคนในซีเรียเท่านั้น”
ในสหรัฐฯ รัฐบาลของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ถูกวิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่คลิปการสังหารของโฟลีย์ถูกเผยแพร่ออกมา แต่เป็นเพราะนโยบายของสหรัฐฯการไม่จ่ายเงินค่าไถ่ให้กับกลุ่มก่อการร้าย ทำใหี้รายงานว่าสหรัฐฯประเมินถึงการโจมตีกลุ่มผู้นำระดับสูงของ IS ทางอากาศในซีเรียตามข้อเรียกร้องของกลุ่มระดับแกนนำของสว.สหรัฐฯสายรีพับลิกันในวันอาทิตย์(24)
ในบ่ายวันอาทิตย์(24) กองบัญชาการกลางสหรัฐฯ (US Central Command) แถลงว่า ได้มีการโจมตีกลุ่ม IS ทางอากาศใกล้กับเขื่อนโมซุล ทางตอนเหนือของสหรัฐฯ และเมืองเออร์บิล (IR) เมืองเอกของเคิร์ด
กองบัญชาการกลางสหรัฐฯแถลงว่า “ การโจมตีทางอากาศครั้งแรกได้ทำลายรถฮัมวีของกลุ่ม IS ใกล้กับเขื่อนโมซุล และการโจมตีครั้งถัดมีได้ทำลายยานหุ้มเกราะใกล้กับเมืองเออร์บิล และอากาศยานโจมตีของสหรัฐฯทุกลำสามารถบินออกจากสถานที่ปะทะอย่างปลอดภัย” และยะงให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯได้โจมตี IS ทางอากาศจำนวน 96 ครั้งทั่วสหรัฐฯนับตั้งแต่เริ่มต้นการโจมตีในวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้มีรายงานว่า กลุ่ม IS ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุด ขู่ที่จะสังหารสตีเวน ซอตลอตต์(Steven Sotloff)นักข่าวสหรัฐฯอีกคนที่ถูก Isจับตัวไปเช่นกัน โดยแคร์รีย์แถลงว่า “สหรัฐฯจะใช้ทุกหนทางทั้งในการทูต ข่าวกรอง และกองกำลังในการนำตัวพลเมืองสหรัฐฯกลับบ้าน”
ในขณะที่ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ว่า “ในขณะนี้ธีโอนั้นอยู่ในที่ปลอดภัยนอกซีเรีย และคาดว่าจะเดินทางกลับสหรัฐฯเพื่อพบกับครอบครัวในไม่ช้า”
หน่วยงานปกป้องชีวิตนักข่าวที่มีฐานอยู่ในสหรัฐฯได้ประเมินว่า มีนักข่าวร่วม 20 คนที่สูญหายในซีเรีย และเชื่อว่าส่วนมากถูก IS จับกุมเป็นเชลย
และในวันเดียวกัน(24) เซอร์ ปีเตอร์ เวสต์มาคอตต์ (Sir. Peter Westmacott) เอกอัคราชทูตอังกฤษประจำสหรัฐฯใกล้ที่จะรู้ตัวคนร้ายที่สังหารโฟลีย์ ที่ต่างเชื่อว่าเป็นพลเมืองอังกฤษ โดยเดลีเมล สื่ออังกฤษรายงานในวันอาทิตย์(24) ว่า แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ภายใน 48 ชม.ที่ผ่านมา SAS หน่วยรบพิเศษอังกฤษ รวมถึงทีมเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอังกฤษถูกส่งไปทางเหนือของอิรัก ร่วมกับกองทัพอิรัก และกองทัพเคิร์ด เพื่อสู้รบกับIS
โดย SAS แบ่งเป็นชุดย่อยๆ ชุดละ 4 นายที่จะเดินทางไปพร้องกองกำลังในท้องที่เพื่อไล่ล่ากลุ่มนักรบญิฮัด IS สัญชาติอังกฤษ เพื่อระบุชื่อพวกเขา และหาความเชื่อมโยงนำไปสู่ “จอห์น” นักรบญิฮัดชาวอังกฤษ ผู้ที่ทำการสังหารโฟลีย์ผ่านคลิปยูทิว์บ
คนร้ายผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าจะเป็น “จอห์น” คืออัลเดล-มาเย็ด อับเดล แบรีย์ ( Abdel-Majed Abdel Bary)วัย 23 ปี อดีตแรปเปอร์ชาวลอนดอน ลูกชายของอิสลามิสต์ชาวอียิปต์ อาเดล อับดุล แบรีย์ ( Adel Abdul Bary) ที่ผู้เป็นพ่อเกี่ยวพันในเหตุระเบิดสถานทูตสหรัฐฯในแอฟริกาตะวันออกปี 1998 ได้คร่าชีวิตคนไปหลายร้อยคน ได้ละทิ้งบ้านราคาร่วม 1 ล้านปอนด์ในย่านถิ่นคนมีเงินในเมดาเวล (Maida Vale) ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน และได้ปรากฎตัวล่าสุดบนโลกโซเชียลมีเดียพร้อมกับศรีษะของทหารซีเรียที่ถูกตัดแล้วอยู่ในมือ แหล่งข่าวให้สัมภาษณ์กับซันเดย์ ไทม์ส สื่ออังกฤษ
“หลังจากที่สามารถจับกุมนักรบญิฮัดอังกฤษได้แล้ว ตัวอย่างเลือดและดีเอ็นเอจากตัวผู้ถูกจับกุมจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลทางการแพทย์ที่อังกฤษมีอยู่ในมือ และสำหรับกระบวนการชี้ตัวคนร้าย ภาพถ่ายม่านตา (เป็นส่วนของสีของนัยน์ตา เช่นน้ำตาล หรือฟ้า) ของนักรบญิฮัดจะถูกนำไปเพื่อวิเคราะห์วงแหวนสีรอบรูม่านตาดำ ซึ่งวงแหวนเหล่านี้ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลนั้นจริงหรือไม่
และแหล่งข่าว SAS รายงานว่า เป็นไปได้ที่จะชี้ตัวนักรบญิฮัดอังกฤษในพื้นที่สู้รบโดยใช้วิธีสอดแนมวิทยุสื่อสารของกลุ่ม IS และเมื่อนักรบญิฮัดอังกฤษเหล่านั้นถูกกองทัพอิรัก หรือกองทัพเคิร์ดจับตัวได้ ทางอังกฤษจะเริ่มต้นกระบวนการสอบปากคำ
“การรวบรวมข้อมูล อาทิ ตัวอย่างเลือด ดีเอ็นเอ รวมไปถึงเสียงบันทึกทั้งภาษาอารบิก และภาษาอังกฤษจะช่วยทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้ว “จอห์น” เป็นใครเมื่อทางเราได้เปรียบเทียบข้อมูลภาคสนามเหล่านั้นกับข้อมูลที่รัฐบาลอังกฤษมีอยู่” แหล่งข่าวเผย
จากพื้นที่สู้รบ หน่วยข่าวกรอง 264 ของ SASจะส่งข้อมูลข้อมูลที่สำคัญเหล่านี้ผ่านทางดาวเทียมขนาดพกพาไปให้เครื่องบินรบสอดแนม เช่น ไรเวต จอยต์ ( Rivet Joint) ที่บินวนอยู่เหนือศรีษะ และภายในเครื่องบินสอดแนมไรเวต จอยต์ จะมีทีมเจ้าหน้าประจำ 17 นายป้อนข้อมูลทั้งหมด และส่งกลับไปยังสำนักงานความมั่นคงอังกฤษ GCHQ ในอังกฤษ และหลังจากนั้นทางสำนักงานใหญ่จะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเพื่อเปรียบเทียบกับดาต้าเบสของข้อมูลนักรบญิอัดสัญชาติอังกฤษที่เชื่อว่าทำการสู้รบในซีเรีย และอิรัก ก่อนที่ผลวิเคราะห์จะถูกส่งกลับไปยังทีม SASในอิรัก ทั้งนี้สื่ออังกฤษรายงานว่า ฐานข้อมูลของGCHQ ที่ได้รวบรวมมาจากการสนทนา และการสื่อสารทางวิทยุมีตัวอย่างเสียงเป็นจำนวนมากเก็บไว้
ในขณะเดียวกัน บริเวณพรมแดนตุรกีและซีเรีย ทหารหน่วยสอดแนม SRR ของกองทัพอังกฤษได้บินโดรนเข้าไปในเขตอิทธิพล IS เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มอิสลามิสต์สุหนี่ ทั้งนี้โดรนของSRR สามารถบินติดต่อกันถึง 24 ชม. และยังสามารถบินใต่ระดับความสูงสูงถึง 18,000 ฟุต และจากความสูงระดับนี้ทำให้สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของ IS ครอบคลุมพื้นที่ร่วมหลายร้อยตารางไมล์ รวมถึง เมืองรักกา ซีเรีย ที่เชื่อกันว่า ชาวตะวันตกจำนวนหนึ่งถูกจับกุมตัวอยู่ โดยแหล่งข่าวจาก SRR เผยว่า “ทางหน่วย SRR ใช้โดรนทางกลยุทธสอดแนมเพื่อสำรวจพื้นที่ในวงกว้าง และใช้โดรนทางยุทธวิธีในการหาข้อมูลอาคารสถานที่ และภาพของหน้าเป้าหมาย
ด้านโฆษกกระทรวงกลาโหมอังกฤษปฎิเสธที่จะให้ความเห็นในปฎิบัติการ โดยแถลงเพียงว่า ทางอังกฤษจะไม่ให้ข้อมูลในภารกิจของหน่วยปฎิบัติการพิเศษ