เอเอฟพี - ศาลสูงสุดมาเลเซียมีคำพิพากษาชี้ขาดไม่รับคำอุทธรณ์ของโบสถ์คริสต์ที่ขอใช้คำ“อัลเลาะห์” เรียกแทนพระเจ้า วันนี้ (23) นับเป็นจุดจบของคดีความที่ยืดเยื้อและสร้างความบาดหมางระหว่างชุมชนคริสต์กับมุสลิมในแดนเสือเหลืองมานานหลายปี
โบสถ์คาทอลิกในมาเลเซียได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของรัฐบาล ซึ่งห้ามมิให้หนังสือพิมพ์ คาทอลิก วีกลีย์ เฮรัลด์ ภาคภาษามาเลย์ใช้คำว่า “อัลเลาะห์” เพื่อสื่อความหมายถึงพระเจ้า
อย่างไรก็ดี คณะผู้พิพากษาทั้ง 7 คนของศาลสูงสุดในเมืองปุตราจายาได้วินิจฉัยยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งเห็นชอบกับคำสั่งของรัฐบาลมาเลเซีย
“(ศาลอุทธรณ์) ใช้บททดสอบที่ถูกต้องแล้ว และเราไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่จะไปแทรกแซง” อารีฟีน ซาการียา หัวหน้าคณะผู้พิพากษาแถลง พร้อมประกาศให้คำร้องของโบสถ์คาทอลิก “ตกไป”
เอส. เซลวาราจา หนึ่งในทีมทนายของโบสถ์คริสต์ระบุว่า คำตัดสินของศาลสูงสุดถือว่าเป็นจุดจบของคดีนี้
“มันคือการสั่งห้ามแบบครอบคลุม ผู้ใดที่มิใช่ชาวมุสลิมไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้คำนี้” ทนายผู้นี้ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
ที่หน้าศาลมีนักเคลื่อนไหวชาวมุสลิมราว 100 คนมารอฟังคำตัดสิน พร้อมร้องตะโกน “อัลลอฮุอักบัร” (อัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่) และชูป้ายข้อความว่า “ผนึกกำลังปกป้องพระนามของอัลเลาะห์”
จุดเริ่มต้นของข้อพิพาทว่าด้วยคำ “อัลเลาะห์” นี้เกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อกระทรวงมหาดไทยมาเลเซียขู่จะถอนใบอนุญาตตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ คาทอลิก วีคลีย์ เฮรัลด์ ฉบับภาษามาเลย์ ซึ่งนำคำว่า อัลเลาะห์ มาใช้สื่อความหมายถึงพระเจ้าในศาสนาคริสต์
โบสถ์แห่งนี้พยายามต่อสู้เพื่อล้มคำสั่งของรัฐบาล โดยโต้แย้งว่า “อัลเลาะห์” เป็นคำที่ใช้มานานหลายร้อยปีในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษามาเลย์ รวมไปถึงงานเขียนที่สื่อถึง “พระเจ้า” ในศาสนาอื่นๆ
อย่างไรก็ดี ทางการเสือเหลืองยืนยันว่า การใช้คำว่า “อัลเลาะห์” ในงานเขียนของศาสนาอื่นจะสร้างความสับสนแก่ชาวมุสลิม และอาจโน้มน้าวให้ชาวมุสลิมเปลี่ยนศาสนา ซึ่งถือเป็นความผิดอาญาในมาเลเซีย
เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ศาลอุทธรณ์มาเลเซียได้พิพากษายืนตามคำสั่งห้ามของรัฐบาล และล้มคำตัดสินของศาลชั้นต้นในปี 2009 ที่วินิจฉัยเข้าข้างฝ่ายคริสตจักรจนสร้างความตึงเครียดระหว่างคน 2 ศาสนา และนำมาซึ่งการบุกรุกทำลายโบสถ์คริสต์หลายแห่ง