เอเจนซีส์ – สหรัฐฯเปิดเผยว่าได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน USS George HW Bush เข้ามายังอ่าวเปอร์เซีย เพื่อปกป้องชีวิตพลเมืองอเมริกัน และผลประโยชน์อเมริกาในอิรัก รวมถึงสนับสนุนทางเลือกด้านการทหารให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ที่ต้องตัดสินใจในสถานการณ์สงครามศาสนาอิรักที่กลุ่มมุสลิมสุหนี่ติดอาวุธ ISIS ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของอิรักและเดินหน้าเพื่อโค่นล้มรัฐบาลแบกแดด
ในวันเสาร์ (14) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ชัค ฮาเกล ได้สั่งการให้เรือบรรทุกเครื่องบิน USS George HW Bush เดินทางมาจากทะเลอาหรับเหนือเพื่อปกป้องชีวิตชาวอเมริกัน รวมถึงผลประโยชน์สหรัฐฯในอิรัก และยังช่วยสนับสนุนทางเลือกให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ที่ต้องตัดสินใจในกรณีที่การทหารต้องเป็นทางเลือกเพื่อปกป้องชาวอเมริกันในอิรัก โฆษกเพนตากอน พลเรือตรี จอห์น เคอร์บี แถลง และเพิ่มเติมว่า คาดว่าเรือบรรทุกเครื่องบิน USS George HW Bush ที่เดินทางมาพร้อมกับเรือครุยเซอร์ติดมิสไซส์นำวิถี USS Philippine Sea และเรือเรือพิฆาต USS Truxtun จะเดินทางถึงอ่าวเซียเปอร์เซียในค่ำวานนี้ (14)
ในขณะเดียวกันอิหร่านได้ประกาศที่จะต่อสู้กับกลุ่มมุสลิมติดอาวุธสุหนี่ร่วมกับสหรัฐฯในอิรัก โดยกลุ่มกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย (ISIS) ได้เข้ายึดหลายเมืองทั่วอิรัก และรุกคืบใกล้กับกรุงแบกแดดแค่เพียง 50 กม. เท่านั้น โดยทางกลุ่มมุสลิมสุดโต่งประกาศบังคับใช้กฎหมายชะรีอะฮ์ในพื้นที่ควบคุมโดยกำหนดให้ผู้หญิงอยู่แต่ภายในบ้าน และจะเดินทางออกนอกบ้านก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ทั้งนี้ ISISถือว่ากลุ่มมุสลิมชีอะห์ที่เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศเป็นพวก “กาฟิร” และ “มุชริก” ที่มุสลิมใช้เรียกผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม
จากรายงานพบว่ากองกำลังอิรักนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มมุสลิมชีอะห์จำนวนเพิ่มมากขึ้นและกลุ่มติดอาวุธเคิร์ด เพื่อที่จะยันกับกลุ่มมุสลิมติดอาวุธ ISIS ในจังหวัดซาลาฮาดดิน (Salahaddin) และ ดิยาลา (Diyala) ทางเหนือของกรุงแบกแดด
อย่างไรก็ตาม โอบามากล่าวว่า เขาต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการตัดสินใจถึงมาตรการที่จะใช้รับมือ แต่ยังย้ำว่าจะไม่ส่งกองกำลังทหารภาคพื้นดินเข้าไปในอิรักอีกครั้ง เนื่องจากสหรัฐฯได้ใช้เงินไปมหาศาลและสูญเสียชีวิตกำลังพลไปมากมายในอิรักในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องการเห็นประเทศแห่งนี้กลับสู่ความยุ่งเหยิงอีก
ด้านอิรัก มีรถปิกอัพและรถบรรทุกต่อแถวยาวในใจกลางกรุงแบกแดดในวันเสาร์ (14) ที่ขนกลุ่มชาวอิรักติดอาวุธตามคำเรียกร้องของผู้นำสูงสุดทางศาสนาในอิรัก แกรนด์ อยาโตลาห์ อาลี ซิสตานี (Grand Ayatollah Ali al-Sistani) ที่ต้องการให้ประชาชนอิรักติดอาวุธเพื่อป้องกันกรุงแบกแดด และเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะเมืองทางใต้ที่มีชาวมุสลิมชีอะห์อยู่อย่างคับคั่ง
กองคาราวานรถขนสมาชิกกลุ่มติดอาวุธมุสลิมชีอะห์มาฮาดี (Mahdi) ที่พบว่ากลับมาเคลื่อนไหวคึกคักอีกครั้งในไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากที่เงียบหายไปหลังจากสงครามศาสนาเกิดขึ้นกับมุสลิมสุหนี่เมื่อ 6-7 ปีมาแล้ว
โดยมีนักการศาสนานั่งอยู่ภายในรถโฟร์วีลไดร์ฟราคาแพงให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “พวกเขาเตรียมตัวที่จะรบแบบไม่คิดชีวิตเพื่อให้เลือดของพวกเขาล้างกลุ่มติดอาวุธก่อการร้ายสุหนี่ ISIS ให้หมดไปจากแผ่นดินอิรัก
ในขณะที่สมาชิกติดอาวุธอีกคนให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาจะช่วยปกป้องกรุงแบกแดด และจะมุ่งหน้าไปทางเหนือในจังหวัดดิยาลา (Diyala) และจังหวัดซาลาฮาดดี (Salahaddin) เพื่อร่วมรบกับกองกำลังแนวหน้าของกองทัพอิรัก
เป็นผลจากการลุกคืบของ ISIS ทำให้กลุ่มติดอาวุธสุหนี่กลุ่มอื่นๆ จำนวนมากลุกขึ้นเข้าร่วมปฏิบัติการกับ ISIS โดยนักข่าวบีบีซีในทางเหนือของอิรักได้สอบถามนายพล มุซเฮียร์ อัล ไควซี (Muzhir al Qaisi )โฆษกของสภาความมั่นคงเพื่อการปฏิวัติอิรัก (General Military Council of the Iraqi Revolutionaries) ว่า มีกลุ่มติดอาวุธสุหนี่ได้เข้ายึดเมืองโมซุลพร้อมกับ ISIS ทั้งนี้ นายพล มุซเฮียร์ อัล ไควซี อธิบายว่า กลุ่ม ISIS นั้น เป็นศัตรูกับกลุ่มติดอาวุธของเขา แต่ไม่ต้องการที่จะปะทะกับ ISIS เพื่อจะถ่วงเวลาการรุกคืบของ ISIS ในการโค่นล้มรัฐบาลอิรัก
ด้านประธานาธิบดีอิหร่าน ฮัสซัน โรว์ฮานี เปิดเผยว่า เขาได้เสนอความช่วยเหลือต่อแบกแดดโดยตรง แต่ปฏิเสธว่าเขาได้ส่งกองกำลังรบพิเศษไปอิรัก และมีรายงานว่านายพล คาสเซิม ซูเลอิมานี (Qassem Suleimani) ผู้บัญชาการรบหน่วย คูดส์ ฟอร์ซ (Quds Force) ของอิหร่านควบคุมกลุ่มติดอาวุธชีอะห์ที่ขึ้นอยู่กับอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม โรว์ฮานี ไม่ได้ตัดช่องทางที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯในการกำราบ ISIS โดยประธานาธิบดีอิหร่านให้สัมภาษณ์ว่า “เราจะคิดถึงความเป็นไปได้ในการร่วมมือหากอิหร่านเห็นสหรัฐฯลงมือจัดการกลุ่มก่อการร้ายในอิรัก หรือที่ไหนก็ตามแต่”