เอเอฟพี - “สตาร์บัคส์” วันนี้ (28 พ.ค.) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทเจ้าของแฟรนไชส์ “เซเว่นอีเลฟเว่น” ในออสเตรเลียได้เข้าควบคุมกิจการยักษ์ใหญ่ด้านกาแฟรายนี้ ซึ่งเป็นการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพลิกชะตาให้กาแฟยี่ห้อดังสามารถอยู่รอดในแดนจิงโจ้ต่อไปได้
ขณะที่แบรนด์อเมริกันซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามเจ้านี้ สามารถครอบงำตลาดบางส่วนของโลกได้ แต่กลับไม่สามารถสร้างฐานที่มั่นคงในตลาดกาแฟของออสเตรเลีย ดินแดนที่มีร้านสตาร์บัคส์เพียง 24 สาขา แม้ว่าจะได้ทุ่มเทกำลังต่อสู้มานาน
ในเวลานี้ “วิทเธอร์ส กรุ๊ป” ซึ่งเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อทั้งหมด 600 สาขาได้รับใบอนุญาตของสตาร์บัคส์ในออสเตรเลีย จากบริษัทแม่ในสหรัฐฯ มาด้วยราคาที่ไม่ได้รับการเปิดเผย
วาร์เรน วิลมอต ประธานฝ่ายบริหารของวิทเธอร์ส กรุ๊ป กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการทำให้สตาร์บัคส์กลายเป็นเครือข่ายกิจการกาแฟที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามที่สุดในออสเตรเลีย”
“เจตนารมณ์ของเราคือ การอาศัยทักษะชั้นเชิงของวิทเธอร์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นกิจการที่มีสาขาครอบคลุมพื้นที่ในออสเตรเลียมากกว่า เพื่อนำบริษัทข้ามชาติเจ้านี้เข้ามาในออสเตรเลีย แล้วปรับรูปแบบให้เข้ากับตลาดท้องถิ่น”
การทำให้แบรนด์ของสตาร์บัคส์ประสบความสำเร็จเทียบเท่าเซเว่นอีเลฟเว่น จะเป็นงานที่ท้ายมาก เมื่อพิจารณาว่ายักษ์ใหญ่ด้านกาแฟเจ้านี้เคยเพียรพยายามมาแล้วอย่างหนักมาแล้ว นับตั้งแต่เปิดตัวสาขาแรกในซิดนีย์เมื่อปี 2000
ภายหลังขาดทุนมานานหลายปี เมื่อปี 2008 สตาร์บัคส์ในออสเตรเลียได้ปิดตัวไปราว 60 สาขา และปลดพนักงานออกไปเกือบ 700 คน เนื่องจากไม่สามารถเอาชนะวัฒนธรรมการบริโภคกาแฟอันซับซ้อนของชาวออสเตรเลีย ประเทศที่ลูกค้ารับรู้ความแตกต่างระหว่างกาแฟมากีอาโต กับอัฟโฟกาโตดีอยู่แล้ว
คลื่นผู้อพยพชาวตุรกี ชาวกรีก และโดยเฉพาะอิตาลี ที่หลั่งไหลเข้ามาในออสเตรเลียนับตั้งแต่หลังสงครามโลก ส่งผลให้ชาวออสซี่มีโอกาสได้เปิด “ประสบการณ์กาแฟ” มานานหลายทศวรรษ ช่วงเวลาเดียวกับที่สตาร์บัคส์กำลังฮิตติดลมบนตลาดในสหรัฐฯ
วิทเธอร์ส กรุ๊ป ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในออสเตรเลียชี้ว่า จะเปลี่ยนวิธีการบริหาร สตาร์บัคส์ แดนจิงโจ้ จากแบบแฟรนไชส์มาเป็นแบบกลุ่มบริษัท แต่ถึงอย่างไรก็จะยังคงสตาร์บัคส์ให้แยกจากเซเว่นอีเลฟเว่น
เจฟฟ์ ฮันส์เบอร์รี ประธานสตาร์บัคส์ประจำจีนและเอเชียแปซิฟิกบอกสำนักข่าวแฟร์แฟกซ์ว่า “ในอนาคตแบรนด์สตาร์บัคส์จะไปได้สวยมาก”
