เอเอฟพี - นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดียวันนี้ (27 พ.ค.) เปิดฉากการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศไฟแรงสูง ด้วยการจัดการประชุมกับนายกรัฐมนตรีปากีสถานเป็นครั้งแรก และประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ภายหลังโมดีและคณะรัฐมนตรีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ผู้นำฝ่ายขวาคนนี้ก็จัดการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี นาวาซ ชารีฟ แห่งปากีสถาน เพื่อหาทางบรรเทาความตึงเครียดระหว่างประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่ต่างก็ติดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งคู่
ผู้นำทั้งสองจับมือกัน และหันมายิ้มให้กล้องบริเวณบันไดทางขึ้นทำเนียบรัฐบาล ณ กรุงนิวเดลี ก่อนที่จะเข้าไปข้างในเพื่อร่วมหารือกันนานเกือบ 1 ชั่วโมง ซึ่งนานกว่าที่ระบุไว้ในกำหนดการ
ชารีฟคือ 1 ใน 6 ผู้นำชาติเอเชียใต้ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีสาบานตนอันหรูหราเมื่อเย็นวานนี้ (26) ของโมดี อดีตเด็กร้านน้ำชาในวัยเยาว์ ที่ประชาชนเลือกให้เป็นผู้นำประเทศซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหัวหน้าพรรคภารติยะชนตะ (บีเจพี) ซึ่งสามารถกวาดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้มากเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยมีพรรคใดทำได้มาก่อนในรอบ 30 ปี
โมดีมีภาพลักษณ์แข็งกร้าว กระทั่งในสายตาสมาชิกพรรคชาตินิยมฮินดูของเขาเอง และชาวปากีสถานจำนวนมากต่างคลางแคลงสงสัยในตัวเขาอย่างยิ่ง ภายหลังที่เขาล้มเหลวในการควบคุมเหตุจลาจลของพวกต่อต้านชาวมุสลิมซึ่งปะทุขึ้นในพื้นที่ทางภาคตะวันตกเมื่อหนึ่งทศวรรษก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโมดีได้ตัดสินใจเชิญชารีฟมาร่วมพิธีสาบานตน และร่วมหารือกับเขา ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าประหลาดใจและช่วยปลดชนวนความแค้นเคืองของเหล่านักวิจารณ์ ทั้งยังเป็นการผูกไมตรีกับชาติมุสลิมเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานครั้งสำคัญ
นับเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีแดนภารตะจัดการประชุมระดับผู้นำประเทศกับปากีสถานอย่างเป็นทางการ ณ กรุงนิวเดลี นับตั้งแต่สายสัมพันธ์ของทั้งสองชาติเกิดรอยร้าว หลังเกิดเหตุโจมตีนครมุมไบเมื่อปี 2008 ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนไปอย่างน้อย 166 คน
การก่อเหตุครั้งนั้นถูกกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของ “ลัชการ์ อี ไทบา” (LeT) หรือ กลุ่มหัวรุนแรงปากีสถานซึ่งตอนนี้ต้องสงสัยว่า อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุโจมตีสถานกงสุลอินเดียประจำเมืองเฮรัต ทางภาคตะวันตกของอัฟกานิสถานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ประธานาธิบดี ฮามิด คาร์ไซ แห่งอัฟกานิสถาน ซึ่งได้พบโมดีในวันนี้ (27) เช่นกันชี้ว่า กลุ่ม LeT คือผู้ลงมือก่อเหตุไม่สงบในเมืองเฮรัตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ชายซึ่งอ้างตนว่า เป็นโฆษกของกลุ่มติดอาวุธดังกล่าวปฏิเสธว่า LeT ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพีประจำแคว้นแคชเมียร์ทางโทรศัพท์
บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า ในการประชุม (27) โมดีอาจหารือกับชารีฟ ในประเด็นการค้า ตลอดจนความกังวลด้านความมั่นคง จากกรณีกลุ่มต่อต้านชาวอินเดียซึ่งคอยวางแผนสั่งการจากอาณาเขตปากีสถาน
*** เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่? ***
ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “ฮินดูสถาน ไทมส์” ชารีฟ กล่าวว่า การที่โมดีสามารถก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายจากการเลือกตั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ของ 2 ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเคยประกาศสงครามกันมาแล้วถึง 3 ครั้ง นับตั้งแต่ประกาศอิสรภาพ
เขาแสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์ฉบับวันอังคาร (26) ว่า “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้พลิกหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของโมดีสามารถกวาดที่นั่งในสภาได้มากเป็นประวัติการณ์ และผมคาดหวังที่จะใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์ (กับอินเดีย) ต่อจากจุดที่ผมและวัชปายีเคยคั่งค้างเอาไว้เมื่อปี 1999”
ทั้งนี้ ชารีฟกำลังหมายถึงกระบวนการสันติภาพซึ่งล้มเหลว ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งวาระที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่พรรคบีเจพีของโมดีนั่งแท่นเป็นรัฐบาลอินเดีย
เมื่อปี 1999 อะตัล พิหารี วัชปายี ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดียขึ้นรถบัสไปยังเมืองลาฮอร์ ของปากีสถาน เพื่อลงนามข้อตกลงร่วมกับชารีฟ ทว่า 3 เดือนหลังจากนั้น ทั้งสองประเทศก็เกือบจะสู้รบเพื่อแย่งชิงแคว้นแคชเมียร์