เอเจนซีส์ บทบรรณาธิการของหนังสือพิพม์วอชิตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ ให้ความเห็นเมื่อวานนี้(21)ว่า การประกาศกฏอัยการศึกอย่างฉับพลันในเช้าวันอังคาร(20)ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.)ว่าดูน่าเป็นห่วง แต่หากพลเอกประยุทธ์จะเล่นในบทบาทนายหน้าโบรกเกอร์อย่างบริสุทธิใจ การเคลื่อนไหวของกองทัพไทยล่าสุดจะกลับเป็นบวกทันทีเพราะในเวลานี้ไทยต้องการหาความปรองดองอย่างมากที่สุด
กองทัพไทยได้ก่อรัฐประหารมาแล้วไม่ต่ำกว่า 11 ครั้งในช่วงเวลากว่า 80ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ไทยต้องถอยหลังทั้งทางด้านประชาธิปไตยและเศรษฐกิจ และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการประกาศกฎอัยการศึกในเช้าวันอังคาร(20)ที่ผ่านมาจะนับเป็นอีกครั้งของการยึดอำนาจ แต่ทว่าในการเคลื่อนกองกำลังออกนอกที่ตั้ง ห้ามเดินขบวน และสั่งปิดสถานีวิทยุและและโทรทัศน์อีกราว 10 สถานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.)ยังไม่ได้ยึดอำนาจการบริหารไปจากผู้นำรัฐบาลพลเรือนแต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้นำกองทัพไทยกล่าวถึงจุดยืนว่า ต้องการป้องกันการนองเลือดและจลาจลที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมทั้งต้องการให้มีการสมานฉันท์ขึ้นภายในประเทศระหว่างสองขั้วการเมือง เอพีรายงานคำพูดของพลเอกประยุทธ์ว่า “พยายามจะไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน – มากจนเกินไป”
แต่นั่นยังไม่ทำให้หลายคนโล่งใจโดยเฉพาะกับกองทัพที่มีประวัติการเป็นปรปักษ์กับการเคลื่อนไหวของนักการเมืองประชานิยมอย่างอดีตผู้นำไทย ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกโค่นอำนาจลงในการปฎิวัติครั้งล่าสุดปี 2006 และหากเป้าประสงค์ของกองทัพทำเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวกลุ่มต่อต้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างที่หลายคนกลัว เพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแล้ว การประกาศกฎอัยการศึกในเช้าวันอังคาร(20)คงไม่ต่างจากการยึดอำนาจในครั้งก่อนๆหน้านี้ และจะทำให้เกิดแรงต้านอย่างมากจากสหรัฐฯและชาติประชาธิปไตยอืนๆ
ในทางกลับกัน หากพลเอกประยุทธ์จะจริงจังกับบทบาทนักโบรกเกอร์อย่างแท้จริง การเคลื่อนไหวทางทหารที่ออกมาจะกลับเป็นบวก เพราะหลังจากความขัดแย้งที่ยาวนานกว่า 6เดือนทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะที่ต้องการความปรองดองอย่างมากที่สุด การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มคนรักทักษิณที่มีฐานมาจากคนชนบทโดยเฉพาะในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และคนเกลียดทักษิณที่อยู่ในเมืองและมีศูนย์กลางที่กรุงเทพฯได้มีแน้วโน้มเกือบเข้าสู่โหมดสงครามกลางเมือง โดยเฉพาะหลังจากศาลไทยที่เห็นอกเห็นใจเหล่าชนชั้นผู้นำหัวอนุรักษ์ได้มีคำสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวทักษิณ ยุติบทบาทผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนนี้ กลุ่มนปช.เสื้อแดงได้ออกเดินขบวนรอบนอกกรุงเทพฯในขณะที่กลุ่มกปปส.ยังคงยึดสถานที่ทำการราชการในความพยายามที่จะล้มล้างระบบการเมืองของไทย
และในขณะที่การใช้ชีวิตดำเนินไปอย่างปกติในเช้าวันอังคาร(20)ที่กรุงเทพฯ ความยุ่งเหยิงทางการเมืองได้ฉุดรั้งประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก พบว่าเป็นครั้งแรกที่ไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบในไตรมาสแรก ซึ่งไม่มีเหตุผลสำหรับการหยุดนิ่งนี้มากกว่าที่ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต้านรัฐบาลจะไม่มีความสามารถในการหาข้อตกลงทางการเมืองร่วมกันที่ทำให้เกิดความพึงพอใจอย่างชอบธรรมของทั้งสองฝ่าย
แท้ที่จริงแล้วกรอบของการปรองดองนั้นมีปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว ในการที่ต้องแลกเพื่อการปฎิรูปประเทศ รวมไปถึง การส่งผ่านอำนาจจากรัฐบาลกลางไปยังท้องถิ่น ขั้วการเมืองทั้งสองฝ่ายควรตกลงร่วมกันให้การเลือกตั้งตามแบบประชาธิปไตยเดินหน้าต่อไปได้ และควรกำหนดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด ซึ่งสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำกปปส.นั้นประกาศไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น โดยต้องการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งโดยมีอำนาจสิทธิขาดในการกำจัดการเคลื่อนไหวทางการเมือง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดกองทัพไทยควรจะใช้อิทธิพลที่มีอยู่เพื่อชักจูงให้สุเทพหรือกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาให้ตกลงยอมรับเงื่อนไขปรองดอง
รัฐบาลประธานาธิบดีสหรัฐฯบารัค โอบามา ที่ลังเลจะเรียกการทำรัฐประหารของกองทัพอียิปต์ว่า “ก่อรัฐประหาร” ในปีที่ผ่านมา และได้ช่วยส่งให้อียิปต์กลับตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการใหม่ต่อไป ได้ส่งสัญญาณที่ถูกต้องมาที่ไทยครั้งนี้ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลโอบามาคาดหวังว่ากองทัพไทยจะไม่ทำให้สถาบันประชาธิปไตยของไทยอ่อนแอ และเน้นหนักถึงความจำเป็นที่ต้องมีการเลือกตั้งเพื่อจะหยั่งถึงความต้องการของประชาชนไทย แต่หากพลเอกประยุทธ์ ไม่เคารพในหลัการดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่ลังเลที่จะลงโทษโดยการคว่ำบาตรทางด้านการทหารและความร่วมมือทุกด้านตามที่กฏหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐได้บัญญัติไว้