รอยเตอร์ - จากวันอันน่าสะเทือนขวัญวันหนึ่งของเด็กสาววัยแรกรุ่นที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อราว 13,000 ปีก่อนและได้เสียชีวิตลงในถ้ำแห่งหนึ่งในเม็กซิโก บัดนี้ได้กลายมาเป็นวันที่น่าอัศจรรย์ใจสำหรับบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ได้บรรลุแล้วในการตามหาความลับที่สำคัญจากการค้นพบกระดูกของมนุษย์ที่มีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่มีความสมบูรณ์และเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบในดินแดนที่เคยถูกเรียกขานว่า โลกใหม่ (ทวีปอเมริกา)
ทีมนักวิยาศาสตร์กล่าวเมื่อวันอังคาร(13) ว่า จากการตรวจสอบทางพันธุกรรมจากซากศพที่ถูกถนอมไว้อย่างสมบูรณ์ซึ่งถูกพบในถ้ำโดยนักประดาน้ำนั้น ได้ให้คำตอบต่อหลายๆคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมนูษย์กลุ่มแรกที่อยู่ทางซึกโลกตะวันตกและความสัมพันธ์ของพวกเขากับประชากรชาวอเมริกันพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในทุกวันนี้
จากการค้นพบในครั้งนี้ได้บ่งชี้ว่ามนุษย์ยุคน้ำแข็งกลุ่มแรกเดินทางข้ามมาสู่แผ่นดินอเมริกาผ่านทางดินแดนที่แต่ก่อนเคยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างไซบีเรียสู่อะแลสกา และยังเสริมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาของชาวอเมริกันพื้นเมืองได้มากกว่าสมมุติฐานภายหลังที่ว่าพวกเขามาจากอีกซีกโลก
การสำรวจของทีมนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ลึกลงไปใต้ผืนป่าทึบในคาบสมุทรยูคาทานของเม็กซิโกทำให้ได้ค้นพบซากศพของเด็กสาวที่อยู่ใต้น้ำซึ่งรายล้อมกระดูกของสัตว์ดึกดำบรรพ์มากกว่า 24 ชิ้น เช่น ฟันของเสือเคี้ยวดาบ หมีถ้ำ สล็อตยักษ์ และ กอมโฟแธร์ (ช้างสี่งา)
ทั้งนี้โครงกระดูกและกระโหลกสภาพสมบูรณ์ของเด็กสาวรวมถึงดีเอ็นเอที่ถูกถนอมไว้ของเธอถูกฝั่งอยู่ลึกลงไปในห้องถ้ำใต้น้ำเป็นเวลาหลายยุคหลายสมัย ก่อนที่จะถูกค้นพบในปี 2007 เธอเป็นเด็กสาวเอวบางร่างน้อย ความสูง 1.47 เมตร ซึ่งทำให้ประมาณการณ์ได้ว่าเธอน่าจะเสียชีวิตในขณะที่อายุราว 15-16 ปี
เธออาจจะเดินผจญเข้าไปช่องต่างๆที่มืดมิดของถ้ำแห่งนี้เพื่อแสวงหาแหล่งน้ำสะอาดและเธอก็เลยพลาดตกลงมาตาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักโบราณคดี เจมส์ แชตเตอร์ แห่งศูนย์วิจัย Applied Paleoscience หนึ่งในหัวหอกของการวิจัยครั้งนี้ เรียกว่า "กับดักที่ไม่อาจหลบเลี่ยง" โดยหลุมที่ว่ามานี้มีความลึก 30 เมตร เป็นหลุมทรงระฆังหงาย
เทพารักษ์แห่งวารี
ทีมนักดำน้ำตั้งชื่อให้เธอว่า "ไนอา" (Naia) ซึ่งมีที่มาจากชื่อของเทพารักษ์แห่งน้ำในตำนานปกรนัมกรีก หนึ่งในนักดำน้ำ อัลเบอโต นาวา เล่าหวนถึงช่วงขณะที่เขาเจอไนอาว่าเป็นจุดด่างพร้อยที่ทำให้รู้สึกสะกิดใจ กระโหลกของเธอตั้งอยู่บนแนวชั้นหินเล็กๆที่ยื่นออกมา "กระโหลกเล็กๆของเธอมีทั้งชุดฟันบนและล่างที่สมบูรณ์มาก และดูเหมือนเบ้าตาที่ดำมืดจะจ้องมองกลับมาที่พวกเรา"
เมื่อครั้งที่เธอตกลงไป หลุมที่ว่านี้อยู่ในสภาพที่แห้ง แต่เนื่องจากแผ่นน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งได้ละลายไปเมื่อราว 10,000 ปีก่อนแล้ว ถ้ำแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยน้ำ จากการทดสอบบ่งชี้ว่าเด็กสาวน่าจะอาศัยอยู่ในระหว่างช่วง 13,000 และ 12,000 ปีก่อน
ภายในแวดวงนักวิทยาศาสตร์ได้มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานถึงต้นกำเนิดของประชากรกลุ่มแรกบนแผ่นดินอเมริกา โดยมีอยู่หลายคนที่คิดว่าเหล่าผู้ล่าสัตว์และผู้เก็บเกี่ยวพืชผลได้ข้ามดินแดนที่เคยเป็นสะพานเชื่อมแผ่นดินเมื่อระหว่าง 26,000 และ 18,000 ปีก่อน และต่อมาก็ได้มีการหลั่งไหลเข้ามาสู่อเมริกาเหนือและใต้ในช่วงต้นของเมื่อราวๆ 17,000 ปีที่แล้ว
แต่ทว่า หลายๆซากศพของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินที่เรียกว่าโลกใหม่นี้ได้สร้างความสับสนต่อบรรดานักวิทยาศาสตร์ นั่นก็เพราะว่า ซากศพของพวกเขา(รวมถึงไนอา)มีกระโหลกศรีษะที่แคบกว่าและมีเค้าโครงหน้าแตกต่างจากชาวอเมริกันพื้นเมืองยุคปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่การคาดเดาว่าเหล่าประชากรในช่วงแรกสุดของโลกใหม่นี้คงจะเป็นสิ่งที่เผยให้เห็นถึงการย้ายถิ่นในช่วงแรกเริ่มจากส่วนต่างของโลกมากกว่าที่จะเป็นรากเหง้าที่แท้จริงชาวอเมริกันพื้นเมือง
แต่จากดีเอ็นเอของเยื่อหุ้มไมโตรคอนเดรียที่ส่งผ่านลงมาจากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก ซึ่งถูกสกัดออกมาจากฟันกรามซี่ที่3ของเด็กสาวนั้นเผยให้เห็นว่าเธอเป็นมนุษย์ตระกูลที่มียีนส์ที่ได้รับสืบทอดมาจากขาวเอเชีย ซึ่งมีการสืบทอดกันอยู่เฉพาะในวงของชาวอเมริกันพื้นเมืองในปัจจุบันเท่านั้น
ทั้งนี้ การวิจัยชิ้นนี้อยู่ในการควบคุมดูแลโดยสถาบันมนุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติของรัฐบาลเม็กซิโก และได้รับการสนับสนุนจาก the National Geographic Society ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร the journal Science