รอยเตอร์ – ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ชี้เหตุประท้วงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาสร้างความเสียหายต่อประเทศไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกล่าวหาฝ่ายต่อต้านว่าใช้วิธีเยี่ยงกลุ่ม “ก่อการร้าย” ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ
มาดูโร ไม่อธิบายว่ารัฐบาลใช้วิธีใดมาคำนวณมูลค่าความเสียหายจากการปะทะระหว่างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ออกมาปิดถนน กับฝ่ายหัวรุนแรงโปรรัฐบาลและกองกำลังความมั่นคง ซึ่งล่าสุดทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 31 ราย
“คนส่วนน้อยที่ต้องการให้เกิดรัฐประหารได้ก่อความเสียหายอย่างมากต่อประเทศชาติ... พวกเขาวางเพลิงมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งเป็นสถานศึกษาสำหรับคนหนุ่มสาวหลายร้อยชีวิต... นี่ไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นการสร้างความวุ่นวาย และการก่อการร้าย” มาดูโร ระบุในคำแถลงที่ถ่ายทอดสดผ่านสื่อโทรทัศน์ โดยหมายถึงวิทยาลัยทหารแห่งหนึ่งในเมืองซานคริสโตบัล ใกล้ชายแดนโคลอมเบีย ซึ่งถูกกลุ่มต่อต้านรัฐบาลวางเพลิง”
เหตุจลาจลในเมืองซานคริสโตบัลถือว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่กระแสประท้วงรัฐบาลเวเนซุเอลาปะทุขึ้นเมื่อต้นเดือนที่แล้ว โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา(19) เจ้าหน้าที่ข่าวกรองได้เข้าจับกุมและตั้งข้อหา “ก่อกบฏพลเรือน” (civil rebellion) ต่อนายกเทศมนตรีคนหนึ่งที่สนับสนุนผู้ประท้วง
ศาลสูงสุดเวเนซุเอลามีคำสั่งให้นายกเทศมนตรีในเทศบาลทุกแห่งที่เป็นเขตอิทธิพลของฝ่ายค้านรื้อถอนเครื่องกีดขวางที่ผู้ชุมนุมนำมาปิดกั้นถนน และได้กลายเป็นจุดที่เกิดการปะทะรุนแรงขึ้น
นายกเทศมนตรีคนหนึ่งจากรัฐคาราโบโบถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 10 เดือน เนื่องจากไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง และให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ, การขาดแคลนสินค้าพื้นฐานที่จำเป็นเช่น นม และ แป้ง และสถิติอาชญากรรมที่พุ่งสูงสุดประเทศหนึ่งในโลก
ฝ่ายต่อต้านและสนับสนุนรัฐบาลเวเนซุเอลาประกาศจะชุมนุมใหญ่อีกครั้งในกรุงการากัส วันนี้ (22)
ประธานาธิบดี มาดูโร กล่าวหาผู้ประท้วงว่าเป็น “พวกฟาสซิสต์” ที่ต้องการก่อปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล เหมือนเช่นที่เคยทำให้อดีตประธานาธิบดี อูโก ชาเบซ ต้องหลุดจากอำนาจไปชั่วคราวเมื่อ 12 ปีก่อน