ซาอุฯขึ้นบัญชีดำภราดรภาพมุสลิมเป็น “ก่อการร้าย”

เอเอฟพี - ซาอุดีอาระเบียในวันศุกร์ (7) ขึ้นบัญชีภราดรภาพมุสลิมและกลุ่มญีฮัด 3 กลุ่มในฐานะองค์กรก่อการร้าย พร้อมมีคำสั่งให้พลเมืองที่กำลังสู้รบในต่างแดน เดินทางกลับประเทศภายใน 15 วัน ไม่อย่างนั้นก็อาจต้องโทษจำคุก

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นเสมือนตัวแทนของการขยายการต่อต้านกลุ่มภราดรภาพมุสลิมของโมฮาเมด มอร์ซี อดีตประธานาธิบดีผู้ถูกขับไล่ของอียิปต์ และบ่งชี้ถึงความกังวลที่มากขึ้นของริยาด ต่อความเป็นไปได้ที่พวกนักรบหัวรุนแรงซาอุฯจะกลับมาจากซีเรีย

นอกจากภราดรภาพมุสลิมแล้ว ซาอุฯยังใส่ชื่อกลุ่มอัล-นุสรา ฟรอนต์ เครือขายอัลกออิดะห์ในซีเรียและกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามแห่งอิรัก (ISIL) กลุ่มหัวรุนแรงที่กำลังสู้รบทั้งในซีเรียและอิรักในฐานะองค์กรก่อการร้ายเช่นกัน

พระราชกฤษฎีกาของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเผยแพร่โดยสื่อมวลชนแห่งรัฐวานนี้ (7) ยังขึ้นบัญชีดำก่อการร้าย กลุ่มกบฏชีอะห์ ฮูธิ ที่กำลังสู้รบทางภาคเหนือของเยเมน รวมไปถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ภายในประเทศด้วย

ทั้งนี้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ได้กำหนดบทลงโทษต่อบุคคลใดก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของกลุ่มต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในราชอาณาจักรหรือต่างแดน ในนั้นรวมไปถึงเข้าร่วมชุมนุม ขณะที่การใช้คำขวัญของกลุ่มที่ถูกระบุว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายจะถือว่าทำผิดกฎหมาย โดยไม่เว้นแม้ในสื่อสังคมออนไลน์ก็ตาม

นอกจากนี้ ในพระราชกฤษฎีกายังห้ามเข้าร่วม เรียกร้องหรือยุยงการสู้รบในดินแดนที่มีความขัดแย้งในประเทศอื่นๆ ด้วย

ริยาด คือผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันของกลุ่มกบฏที่นำโดยชาวสุหนี่ ในการต่อสู้เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย แต่อีกด้านหนึ่งก็หวั่นเกรงต่อการเอาคืนของกลุ่มญีฮัดหัวรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเคยถูกเครือข่ายอัลกออิดะห์ท้องถิ่นโจมตีหลายระลอกช่วงปี 2003-2006

เมื่อเดือนที่แล้ว กษัตริย์อับดุลเลาะห์แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดบทลงโทษสูงสุด 20 ปี สำหรับผู้เป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายและกำลังสู้รบต่างแดน

โดยกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดบทลงโทษแบบเดียวกันกับบุคคลที่เป็นสมาชิกของกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาและกลุ่มลัทธิต่างๆ หรือพวกที่ถูกขึ้นบัญชีดำในฐานะองค์กรก่อการร้าย ทั้งระดับภายใน ภูมิภาคและนานาชาติด้วย

ก่อนหน้านี้ในปี 2011 ซาอุดีอาระเบียได้จัดตั้งศาลก่อการร้ายพิเศษ สำหรับพิจารณาคดีพลเมืองของประเทศและชาวต่างชาติหลายสิบคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกอัลกออิดะห์หรือเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีนองเลือดหลายระลอกทั่วประเทศนับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา