เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - พลเรือจัตวา โวเรเก “แฟรงค์” ไบนิมารามา นายกรัฐมนตรีของฟิจิ ซึ่งควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประกาศลาออกจากกองทัพในวันพุธ (5) เพื่อเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สองชาติมหาอำนาจแห่งแปซิฟิกออกโรงชื่นชมการตัดสินใจนี้ โดยระบุว่าถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะนำหมู่เกาะซึ่งถูกรุมเร้าไปด้วยการรัฐประหารแห่งนี้กลับคืนสู่ประชาธิปไตย
การตัดสินใจลาออกจากกองทัพของไบนิมารามา หมายความว่า นายกรัฐมนตรีวัย 59 ปี ซึ่งครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2007 รายนี้จะลงชิงชัยในการเลือกตั้งทั่วไปของฟิจิในเดือนกันยายนในฐานะ “พลเรือน” มิใช่ในฐานะผู้นำกองทัพที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลมาแล้วถึง 4 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 1987 เป็นต้นมา
พลเรือจัตวาไบนิมารามาซึ่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของฟิจิหลังการทำรัฐประหารในช่วงปลายปี 2006 ยอมรับว่าการตัดสินใจลาออกจากกองทัพถือเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากยิ่ง เนื่องจากเขาอยู่ในกองทัพมานานเกือบ 4 ทศวรรษ
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฟิจิที่มีผลบังคับใช้เมื่อปีที่แล้ว ห้ามทหารยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้น ไบนิมารามาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นต้องลาออกจากกองทัพ ก่อนที่จะกระโจนเข้าสู่ “ถนนสายการเมือง” ในการเลือกตั้งปีนี้
ด้านรัฐบาลออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สองชาติมหาอำนาจแห่งแปซิฟิก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวให้นานาชาติดำเนินมาตรการโดดเดี่ยวต่อฟิจิ หลังจากที่ไบนิมารามาทำรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมของประเทศ ออกมาแสดงท่าทียินดี ต่อการตัดสินใจของพลเรือจัตวารายนี้
จูลี บิชอป รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลียแถลงที่กรุงแคนเบอร์รา โดยระบุว่า การสละตำแหน่งในกองทัพของไบนิมารามาถือเป็นอีกหนึ่งในสัญญาณเชิงบวกต่อการเตรียมเลือกตั้งในฟิจิ เพื่อกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พร้อมย้ำออสเตรเลียพร้อมปรับปรุงความสัมพันธ์กับฟิจิกลับคืนสู่ระดับปกติ
ขณะที่เมอร์เรย์ แม็กคัลลี รัฐมนตรีต่างประเทศนิวซีแลนด์ ออกมาระบุว่า การแบ่งแยกระหว่างรัฐบาลและกองทัพถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือ และถือเป็น “หลักเขตสำคัญ” บนถนนแห่งประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ไบนิมารามา ซึ่งยังคงมีฐานะเป็น “นายกรัฐมนตรีรักษาการ” ถูกยกให้เป็นตัวเต็งในฐานะผู้นำคนต่อไปของฟิจิ หลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีนี้ โดยผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยสื่อดังอย่าง “ฟิจิ ซัน” ล่าสุดในสัปดาห์นี้ระบุว่า เขามีคะแนนนิยมสูงถึง 79 เปอร์เซ็นต์ แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าสื่อดังกล่าวมีจุดยืนเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลและกองทัพ
