เอเจนซีส์ - สภาผู้แทนราษฎรสเปนผ่านกฏหมายจำกัดอำนาจยุติธรรมของสเปนไม่ให้รับพิจารณาคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นภายนอกประเทศ เพื่อลดความตรึงเครียดกับจีนจากคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในทิเบตของอดีตผู้นำของจีน “เจียง เจ๋อหมิน”ที่นักเคลื่อนไหวชาวทิเบตสัญชาติสเปนนำขึ้นสู่ศาลแดนกระทิงดุ ด้านกลุ่มนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนสากลประนาม เป็นจุดจบของความมีชื่อเสียงระดับโลกของศาลสเปนในด้านทำคดีละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ หรือ การทรมาน
ในวันอังคาร(11) ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคอนุรักษ์ หรือ พีเพิล ปาร์ตี (PP) ของสเปนประสบความสำเร็จสามารถชักจูงทำให้สภาผู้แทนราษฎรสเปนผ่านกฏหมายจำกัดอำนาจยุติธรรมสเปนในการรับพิจารณาคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดนอกประเทศด้วยมติ 179 ต่อ 169 เสีย โดยไม่มีเสียงสนับสนุนจากฝ่ายค้าน หลังจากที่ศาลสเปนได้ออกหมายจับอดีตประธานาธิบดีจีน “เจียง เจ๋อหมิน” และเจ้าหน้าที่ของจีนอีก 4 คนในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาในคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในทิเบต
ซึ่งที่ผ่านมาจีนได้ออกโรงประนามในกรณีที่ศาลยุติธรรมของสเปนรับพิจารณาคดีนี้ที่นักเคลื่อนไหวชาวทิเบตในสเปนได้นำเรื่องขึ้นสู่ศาล โดยจีนอ้างว่าอาจจะกระทบถึงความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้ง 2 ชาติ
ร่างกฏหมายใหม่ที่ได้รับการวิจารณ์อย่างรุนแรงจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆพรรคฝ่ายค้านสเปน และเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมสเปน อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงถึงคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนคดีอื่นๆที่กำลังพิจารณาอยู่ในชั้นศาลขณะนี้ รวมถึงคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ฟ้องเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และกองทัพสหรัฐฯในปฎิบัติการต่อต้านก่อการร้ายที่ริเริ่มในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งได้รับการคาดการว่าร่างกฏหมายใหม่นี้จะได้รับการสนับสนุนให้ผ่านในสภาสูงสเปนที่พรรครัฐบาลสเปนมีที่นั่งส่วนใหญ่อยู่ในนั้น
จุดมุ่งหมายของกฏหมายฉบับนี้เพื่อจำกัดอำนาจของศาลที่ใช้ “เขตอำนาจสากลทางศาล” (Universal Jurisdiction) ใช้ตัดสินอาชญากรรมระหว่างประเทศ เช่น คดีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ซึ่งคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อื้อฉาวที่สุดคดีหนึ่งคือ คดีของผู้นำเผด็จการชิลี ประธานาธิบดี ออกุสโต ปิโนเชต์ ได้ถูกดำเนินคดีในปี 1998 และถูกศาลสเปนออกหมายจับในระหว่างที่ปิโนเชต์อยู่ในกรุงลอนดอน และเขาได้ถูกคุมขังเป็นเวลา 1 ปีครึ่งในเรือนจำอังกฤษก่อนที่จะถูกปล่อยตัวไป
ด้านอัลฟอนโซ อลองโซ โฆษกพรรคPPพีเพิล ปาร์ตี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลได้กล่าวในเดือนมกราคมว่า “เขตอำนาจสากลทางศาล” (Universal Jurisdiction) นั้นดูเหมือนมีประโยชน์มากมาย แต่จริงๆแล้วไม่สามารถใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมนอกจากสร้างความบาดหมางระหว่างประเทศ” ซึ่งในขณะที่ผู้พิพากษาคดี และกลุ่มสิทธิมนุษยชนประสบความสำเร็จในการลงโทษผู้กระทำผิดในการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้นั้น แต่กลับสร้างความบาดหมางระหว่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสเปน
ซึ่งก่อนหน้านั้นในปี 2009สเปนได้ลดอำนาจผู้พิพากษาในคดีสิทธิมนุษยชน แต่ในครั้งนี้ที่ร่างกฏหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้ได้ระบุถึง “ผู้ถูกกล่าวหา” คนใดที่สามารถถูกใต่ส่วนได้ และ “ใครจะเป็นผู้โจทย์ยื่นฟ้องคดีได้”
ในกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กฏหมายฉบับใหม่ระบุว่า มีเพียงชาวสเปนหรือชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในสเปนเท่านั้นที่สามารถถูกดำเนินคดีได้ ซึ่งนั่นจะเท่ากับว่ายกเว้นคดีเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้องกับทิเบต
และกฏหมายฉบับใหม่นี้ยังกำหนดมาตรการใหม่ที่เข้มงวดขึ้นในการระบุว่าใครสามารถยื่นฟ้องในคดีทรมาณได้ ซึ่งจะไม่จำกัดเพียงว่าโจทย์จะต้องเป็นพลเมืองสเปนเท่านั้น แต่ยังระบุลึกลงไปว่าโจทย์ต้องเป็นพลเมืองสเปนในระหว่างที่มีการกระทำผิดนี้เกิดขึ้น
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลถึงคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้นำจีน ซึ่งถูกนำขึ้นสู่ศาลโดย ทับเทน หวังเชน เชอร์ปา เชอร์ปา ชาวทิเบตที่ภายหลังได้แปลงสัญชาติเป็นสเปน
“กฎหมายฉบับใหม่นี้ถูกเขียนเพื่อเอาใจจีนโดยเฉพาะ” อลัน แคนโตส ประธานคณะกรรมการสนับสนุนทิเบตที่เป็นหนึ่งในโจทย์ผู้ยื่นฟ้องให้ความเห็น พร้อมกับกล่าวเสริมว่า “นี่มันขาดจริยธรรมโดยสิ้นเชิง”
นอกจากนี้กลุ่มสิทธิมนุษยชนสากลอื่น ที่รวมถึง กลุ่มนิรโทษกรรมสากล และกลุ่มฮิวแมนไรท์วอช ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกสัปดาห์นี้เพื่อประนามร่างกฏหมายใหม่ที่ได้ทำลายเขตอำนาจสากลทางศาล และความรับผิดชอบของสเปนต่อประชาคมโลก
ทางด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนได้กล่าวในสัปดาห์นี้ว่า "จีนต่อต้านอย่างหนักที่ศาลระหว่างประเทศรับพิจารณาคดีทิเบต" นอกจากนี้ยังกล่าวเสริมว่า “ทางจีนไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความเห็นในกรณีที่สเปนจัดการกิจการภายในของประเทศ แต่จีนหวังว่า รัฐบาลสเปนจะจัดการได้อย่างเหมาะสมเพื่อทำเรื่องผิดให้เป็นสิ่งถูก”