เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เผยข้อมูลล่าสุดในวันอังคาร (21) โดยระบุว่า ในปี 2013 ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่ปริมาณความต้องการ “น้ำมัน” ของสหรัฐฯ มีการเติบโตจนแซงหน้าสาธารณรัฐประชาชนจีน
ข้อมูลล่าสุดของไออีเอระบุว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 เป็นต้นมา จีนครองตำแหน่งประเทศที่มีความต้องการทรัพยากรน้ำมันสูงที่สุดในโลกมาโดยตลอด แต่ในปี 2013 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ปริมาณความต้องการน้ำมันของสหรัฐฯ กลับแซงหน้าจีนได้เป็นครั้งแรก
โดยในปี 2013 ปริมาณความต้องการน้ำมันในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นราว 390,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปริมาณความต้องการบริโภคน้ำมันของจีนในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นราว 295,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี
ไออีเอระบุว่า การปฏิวัติหินนํ้ามัน (shale oil revolution) ในสหรัฐฯ ซึ่งหมายถึงการที่สหรัฐฯ สามารถใช้เทคโนโลยีสกัดเอาน้ำมันดิบจำนวนมหาศาลที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหินออกมาใช้ประโยชน์ได้ในเชิงพาณิชย์ คือต้นเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในเมืองลุงแซมพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
และในอนาคต ไออีเอชี้ว่าสหรัฐฯซึ่งมีศักยภาพในการผลิตน้ำมันได้มากขึ้น จะเปลี่ยนสถานะจากการเป็น “ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่” ของโลก มาเป็น “ผู้ผลิต-ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 1” แซงหน้าเจ้าของตำแหน่งเดิมอย่างซาอุดีอาระเบียได้ก่อนปี 2020 อย่างแน่นอน
ด้าน อองตวน อาล์ฟฟ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดน้ำมันของไออีเอ ออกมาเปิดเผยว่า การเพิ่มขึ้นของความต้องการบริโภคน้ำมันในสหรัฐฯ เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ได้ชื่อว่า มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกกำลังฟื้นตัว และอาจเป็นการฟื้นตัวในอัตราที่รวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดน้ำมันของไออีเอยังคาดการณ์ว่า แนวโน้มความต้องการน้ำมันของทั่วโลกในปี 2014 นี้ อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 1 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 107 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล