เอเอฟพี – กำลังเสริมชุดแรกของกองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติ เดินทางถึงซูดานใต้แล้ววานนี้ (27 ธ.ค.) ขณะมีรายงานว่ารัฐบาลประเทศนี้ยอมตกลงพักรบในทันที หลังปะทะกับกลุ่มกบฏอย่างหนักหน่วงมาร่วม 2 สัปดาห์
องค์การสหประชาชาติ กล่าวเตือนว่า สถานการณ์ความตึงเครียดภายในดินแดนแห่งนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างน่าวิตก แม้จะมีความพยายามยับยั้งไม่ให้ประเทศใหม่ล่าสุดของโลกแห่งนี้ที่ประชาชนหลายพันคนเสียชีวิตจากเหตุสู้รบ ต้องถลำลึกลงไปในสงครามกลางเมืองแล้วก็ตาม
บรรดาผู้นำชาติแอฟริกาตะวันออกซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพประกาศวานนี้ (27) ว่าประธานาธิบดี ซัลวา คีร์ แห่งซูดานใต้ตกลงจะพักรบแล้ว
อย่างไรก็ตาม รีค มาชาร์ ผู้นำกลุ่มกบฏในทางพฤตินัย ซึ่งถูกคีร์กล่าวหาว่าพยายามทำรัฐประหารหลังถูกเขาปลดจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีเมื่อเดือนกรกฎาคมจะยังไม่ปฏิบัติตามสัญญาสงบศึกโดยทันที
ในการให้สัมภาษณ์บีบีซีทางโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมโดยไม่เปิดเผยตำแหน่งที่อยู่ มาชาร์ กล่าวว่าจะต้องมีกลไกที่ใช้ตรวจสอบการพักรบ
“เพื่อให้การพักรบน่าเชื่อถือก็จำเป็นต้องมีกลไกอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นการทรยศตนเอง” เขากล่าว
นอกจากนี้เขายังเรียกร้องให้ คีร์ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่อาวุโสทั้ง 11 คน ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคปลดปล่อยซูดาน (เอสพีแอลเอ็ม) ของเขา ที่ถูกจับกุมขณะเหตุไม่สงบปะทุขึ้น ขณะที่แจ้งว่าตนได้รับทราบว่ามี 2 คนได้รับอิสรภาพแล้ว
บรรดาผู้นำในภูมิภาคนี้ซึ่งเป็นผู้ไกล่เกลี่ยขอให้ยุติสงครามได้ให้เวลามาชาร์ และคีร์ 4 วันเพื่อเจรจากันแบบซึ่งหน้าและยุติการสู้รบ โดยพวกเขาประกาศว่าจะใช้ “ปฏิบัติการเพิ่มเติมขึ้นอีก” หากสงครามกลางเมืองยังดำเนินต่อไป
ในเวลาเดียวกันองค์การสหประชาชาติระบุว่า การปะทะกันยังคงรุนแรงจนมีการพบศพจำนวนมากที่ด้านนอกค่ายของยูเอ็นอย่างน้อยหนึ่งแห่ง แต่ไม่สามารถไปเก็บศพเหล่านั้นได้
โฆษกขององค์การสหประชาชาติในนิวยอร์กแจ้งว่า กองกำลังตำรวจยูเอ็น 72 คนเดินทางมาถึงซูดานใต้แล้ววานนี้ (27) โดยพวกเขาเป็นหน่วยหน้าของกองกำลังเสริม 6,000 คนซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้ตามไปสมทบกองกำลังสันติภาพยูเอ็นในซูดานใต้ (UNMISS) ที่กำลังเผชิญสถานการณ์ยากลำบาก
นอกจากนี้ คาดว่ายังจะมีเจ้าหน้าที่ และอุปกรณ์ไปถึงในวันนี้ (28) อีก
ทันทีที่กำลังเสริมทั้งหมดเดินทางไปถึง จำนวนทหารของกองกำลัง UNMISS ในซูดานใต้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว โดยจำนวนทหารจะเพิ่มขึ้นเป็น 12,500 คน และตำรวจ 1,300 คน
