เอเจนซี - ศาลรัฐบาลกลางชี้ว่าโครงการสอดแนมลับสุดยอดของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นเอสเอ) ที่รวบรวมข้อมูลทางโทรศัพท์ของอเมริกันชนหลายล้านคน มีความชอบธรรมทางกฎหมายในฐานะเครื่องมือตอบโต้พวกก่อการร้ายซึ่งไม่ได้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของประชาชน ความเห็นที่ขัดแย้งกับศาลชั้นต้นอีกแห่ง ส่อแววว่าท้ายที่สุดเรื่องนี้ต้องไปจบลงที่ศาลฎีกา
คำวินิจฉัยของ วิลเลียม พอลลีย์ ผู้พิพาษาศาลช้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน เป็นการปฏิเสธคำฟ้องร้องของสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน ที่ยื่นท้าทายโครงการนี้ที่ถูกเปิดโปงโดยนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตพนักงานสัญญาจ้างของเอ็นเอสเอ
นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาดังกล่าวยังเป็นการเห็นต่างจากคำวินิจฉัยของ ริชาร์ด ลีออน ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นในวอชิงตัน ดี.ซี.ซึ่งชี้ว่าโปรแกรมสอดแนมแบบเหวี่ยงแหนี้อาจละเมิดกฎหมาย พร้อมกับสั่งให้รัฐบาลหยุดรวบรวมข้อมูลตามการยื่นฟ้องร้องของโจทก์ 2 ราย
โปรแกรมนี้ยังถูกฟ้องร้องทางกฎหมายโดย Electronic Frontier Foundation (EFF) องค์กรด้านสิทธิเสรีภาพในโลกดิจิทัล และด้วยที่มีความเห็นแตกแยกกันในหมู่ผู้พิพากษารัฐบาลกลางเกี่ยวกับความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ นั่นอาจทำให้ท้ายที่สุดแล้วโครงการนี้อาจต้องคลี่คลายโดยศาลฎีกา
ในเอกสารคำตัดสิน 54 หน้า ผู้พิพากษาพอลลีย์ บอกว่าความชอบธรรมทางรัฐธรรมนูญของโปรแกรมนี้ ท้ายที่สุดคือเป็นคำถามเกี่ยวกับความสมหตุสมผล และไม่มีหลักฐานว่ารัฐบาลใช้ข้อมูลทางโทรศัพท์ที่กัดฟังไปใช้ในเหตุผลอื่นนอกเหนือไปจากการสืบสวนเพื่อทลายแผนโจมตีก่อการร้าย
พร้อมกันนั้น ก็ได้ปฏิเสธคำร้องของทางสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน ที่ขอให้มีคำสั่งก่อนชี้ขาดตัดสินคดี ให้เอ็นเอสเอหยุดดักเก็บข้อมูลชาวอเมริกัน และทำลายข้อมูลที่พวกเขารวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ โดยบอกว่าแนวทางของรัฐบาลก็เพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ด้วยเห็นว่าการต่อสู้กับก่อการร้ายคือเป้าหมายเร่งด่วนสูงสุด
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ปกป้องโปรแกมสอดแนมนี้ แต่บ่งชี้ว่ามีความตั้งใจพิจารณากำหนดข้อจำกัดต่างๆ ในนั้นรวมถึงให้บริษัทโทรศัพท์หรือมือที่ 3 เป็นผู้ควบคุมข้อมูล แต่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองยอมรับว่าแนวทางนี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงและทำให้การสืบสวนเป็นไปอย่างล่าช้า
การออกมาแฉของสโนว์เดน ซึ่งเวลานี้ลี้ภัยอยู่ในรัสเซีย เผยให้เห็นถึงความกว้างขวางของโปรแกรมสอดแนมสหรัฐฯ และจุดชนวนการโต้เถียงว่าความพยายามปกป้องอเมริกันชนจากภัยก่อการร้ายของรัฐบาลเบี่ยงเบนจากวัตถุประสงค์ไปมากน้อยแค่ไหน