เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำอังกฤษเผย ทางการริยาดห์พร้อมเดินอย่างโดดเดี่ยวในประชาคมโลก ยันเดินหน้าให้การสนับสนุน “ด้านอาวุธ” แก่ฝ่ายกบฏในซีเรียต่อไป ไม่สนใจถูกชาติตะวันตกตราหน้าว่าเป็นพวก “ขวางโลก”
เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน นาวาฟ บิน อับดุลอาซิส อัล-ซาอุด เอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหราชอาณาจักร เผยในวันพุธ (18) โดยยืนยันว่า ราชอาณาจักรกลางทะเลทรายซึ่งมั่งคั่งไปด้วยน้ำมันของพระองค์พร้อม “ก้าวเดินอย่างโดดเดี่ยว” ในประชาคมโลก เพื่อให้การสนับสนุนต่อฝ่ายกบฏในสงครามกลางเมืองซีเรียต่อไป แม้จุดยืนด้านนโยบายต่างประเทศดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลริยาดห์ถูกมองว่าเป็นพวกชอบทำตัวขวางโลกในสายตาของชาติตะวันตกก็ตาม
“ซาอุดีอาระเบียพร้อมเดินโดดเดี่ยวทางด้านนโยบายต่างประเทศ เราขอยืนยันจุดยืนของเราในการหนุนหลังกบฏซีเรีย ให้พวกเขาได้ยืนหยัดต่อกรกับระบอบการปกครองที่ชั่วร้ายของบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ยังคงเดินหน้าสังหารเด็กๆ หลายพันคนต่อไป” เจ้าชายโมฮัมเหม็ดเผย
ทูตซาอุฯ ประจำอังกฤษยังเตือนว่า ความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา และรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ในการผูกไมตรีกับอิหร่าน ที่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของซาอุดีอาระเบีย รวมถึงความล้มเหลวของสหรัฐฯในการ “ขุดรากถอนโคน” ระบอบอัสซาดในซีเรีย กำลังบ่อนทำลายเสถียรภาพของภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งซาอุดีอาระเบียไม่อาจเดินตามรอยสหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตรตะวันตกในเรื่องดังกล่าวได้อีก และซาอุฯ พร้อมดำเนินทุกวิถีทางตามแนวทางของตัวเอง เพื่อปกป้องตะวันออกกลางจากภัยคุกคาม
“เพื่อนชาวตะวันตกของเราได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลซีเรียของบาชาร์ อัล-อัสซาดถูกโค่นล้มลงได้ เพราะพวกเขากลัวว่าพวกนักรบอิสลามิสต์ที่แฝงตัวอยู่ในฝ่ายกบฏซีเรีย และมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์จะก้าวขึ้นมามีอำนาจแทน ซึ่งท่าทีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ซาอุดีอาระเบียมิอาจยอมรับได้” เจ้าชายโมฮัมเหม็ดกล่าวเสริม
ด้านจูเลียน บาร์นส์-เดซีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านซีเรียจากองค์กร “European Council for Foreign Relations” ให้ความเห็นว่า บรรดาผู้นำทางการเมืองของซาอุดีอาระเบียต่างเชื่อมั่นว่า การโค่นล้มระบอบการปกครองของอัสซาดในซีเรีย และการขัดขวางโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ต่างมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงปลอดภัยของซาอุดีอาระเบีย และชาติอาหรับที่เป็นพวกมุสลิมสุหนี่อื่นๆ
ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลริยาดห์จะไม่สบายใจ และแสดงท่าทีแข็งกร้าวเมื่อเห็นพันธมิตรเก่าแก่ของตนอย่างสหรัฐฯ หันไปผูกมิตรกับรัฐบาลอิหร่านที่เป็นพวกมุสลิมชีอะห์ รวมถึงต้องการให้ระบอบอัสซาดในซีเรียที่เป็นพวกมุสลิมอะลาวิต (แขนงหนึ่งของชีอะห์) ได้อยู่ในอำนาจต่อไป