เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย พบหารือเป็นการส่วนตัวเมื่อวันอังคาร (3) กับเจ้าชาย บันดาร์ บิน สุลต่าน ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางแห่งซาอุดีอาระเบีย ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยของทางเครมลิน หรือทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย
รายงานข่าวของสำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสติ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการสื่อสารของรัสเซียระบุ ทางวังเครมลินออกมายืนยันถึงการพบหารือเป็นการส่วนตัวเมื่อวันอังคาร (3) ระหว่างประธานาธิบดีปูติน กับเจ้าชายบันดาร์ บิน สุลต่าน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองซาอุฯ ที่บ้านพักของผู้นำรัสเซียในเมืองโนโว-โอการ์โยโว ที่อยู่ทางตะวันตกของกรุงมอสโก
รายงานข่าวระบุว่า ผู้นำรัสเซียและเจ้าชายบันดาร์แห่งซาอุดีอาระเบียได้หารือกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ที่กำลังคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความไม่สงบและสงคราม ตลอดจนการขยายตัวของภัยคุกคามจากพวกนักรบอิสลามิสต์ ที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะห์
ด้านแหล่งข่าวทางการทูตในกรุงมอสโกเผยว่า การหารือของปูตินและหัวหน้าหน่วยข่าวกรองซาอุฯ เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ รวมถึง มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน และสงครามกลางเมืองในซีเรีย
การเดินทางมายังกรุงมอสโกของเจ้าชาย บันดาร์ บิน สุลต่านมีขึ้นหลังจากที่พระองค์ทรงประกาศก่อนหน้านี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ซาอุดีอาระเบียจะทบทวนนโยบายต่างประเทศของตนใหม่ โดยเตรียมหันหลังให้กับสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลริยาดห์ไม่พอใจสหรัฐฯ ในหลายเรื่อง ทั้งการตัดสินใจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ในการผูกไมตรีกับอิหร่าน ที่เป็น “ศัตรูตัวฉกาจ” ของซาอุดีอาระเบียในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงความไม่พอใจต่อความล้มเหลวของรัฐบาลเมืองลุงแซมในการเปิดฉากใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีสั่งสอนรัฐบาลซีเรียของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ทางซาอุฯ ถือเป็นอีกหนึ่งเสี้ยนหนาม
แหล่งข่าวยังเผยต่อไปว่า แม้การหารือระหว่างปูตินกับเจ้าชายบันดาร์ในครั้งนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนจุดยืนที่อยู่คนละขั้วของทั้งสองฝ่ายต่อประเด็นอิหร่านและซีเรียได้ โดยรัสเซียยังคงเน้นย้ำ ถึงความสำคัญของการหนุนหลังทั้งโครงการพัฒนานิวเคลียร์อิหร่านและระบอบการปกครองของอัสซาดในซีเรียต่อไป
ขณะที่ซาอุดีอาระเบียยังคงไว้ซึ่งจุดยืนในการต่อต้านโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน และยังหนุนหลังฝ่ายกบฏในซีเรียต่อไป แต่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่าปัญหาอิหร่านและซีเรียจำเป็นต้องหาทางออกโดยยึด “หลักสันติ”
ทั้งนี้ ท่าทีล่าสุดของทั้งรัสเซียและซาอุดีอาระเบียมีขึ้นหลังจากที่อิหร่านเพิ่งบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นด้านนิวเคลียร์กับ 6 ชาติมหาอำนาจเมื่อปลายเดือนก่อน จนอิหร่านได้รับการผ่อนปรนจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
ส่วนวิกฤตซีเรียที่ดำเนินมานานเกือบครบ 3 ปีนั้น ก็เริ่มมีความหวังมากขึ้น หลังจากที่นานาชาตินำโดยรัสเซียและสหรัฐฯ กำหนดให้มีการเจรจาสันติภาพที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 22 มกราคมปีหน้า เพื่อหาทางยุติการสู้รบในซีเรียที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 100,000 ราย และทำให้มีผู้อพยพหนีภัยสงครามกว่า 9 ล้านคน