เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน ผู้นำฟิลิปปินส์ ถูกกดดันอย่างหนักในวันพฤหัสบดี (14 พ.ย.) ให้เร่งรีบแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัย เพราะถึงแม้มหาพายุไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” พัดผ่านแดนตากาล็อกไปเกือบครบสัปดาห์แล้ว แต่ในเมืองใหญ่ที่เสียหายยับเยินที่สุด ยังคงมีศพทิ้งกระจัดกระจายบนถนน และชะตากรรมของผู้รอดชีวิตน่าเป็นห่วงมากขึ้นจากการขาดอาหาร น้ำ และยา อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ เดินทางถึงและเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือ
หกวันหลังจากมหาไต้ฝุ่นถล่มตอนกลางของฟิลิปปินส์ ในเมืองตาโกลบาน เมืองเอกของเกาะเลย์เต ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ประสบความเสียหายย่อยยับที่สุด ร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากยังกองอยู่ริมถนน ขณะที่ผู้รอดชีวิตพยายามค้นหาศพที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง นอกจากนั้นมีผู้คนจำนวนมากอดทนเดินเท้าเป็นวันๆ โดยไม่ได้กินอาหารไปยังสนามบิน หลายคนมุ่งหาที่นั่งบนเครื่องบินจะได้ออกจากพื้นที่ ซึ่งปรากฏว่าจะต้องใช้เวลารออีกหลายชั่วโมงหรือหลายวัน แล้วก็มีหลายคนที่ไปรับการรักษาจากศูนย์การแพทย์ชั่วคราวในสนามบิน
ทางการฟิลิปปินส์ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดเมื่อวันพฤหัสฯ (14) ว่ามี 2,357 ราย แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อสามารถรวบรวมข้อมูลจากเขตภัยพิบัติทั้งหมด โดยที่ในเวลานี้ยังคงมีพื้นที่ห่างไกลและถูกตัดขาด ซึ่งหน่วยกู้ภัยบรรเทาทุกข์ยังเข้าไปไม่ถึง
วันเดียวกันนั้น ทางการเมืองตาโกลบานได้ดำเนินการฝังศพหมู่ในหลุมรวมขนาดใหญ่เป็นระลอกแรกจำนวน 100 ศพโดยไม่มีการประกอบพิธีทางศาสนา
เจ้าหน้าที่เชบอกว่า พยายามระบุอัตลักษณ์ผู้เสียชีวิตเพื่อให้ญาติมิตรสามารถตามหาได้ ทว่า ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ได้ตรวจดีเอ็นเอศพหรือไม่
ในส่วนปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ครั้งใหญ่นั้น เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน พร้อมเรืออื่นๆ ในหมู่เรือเดียวกัน เป็นต้นว่า เรือพิฆาต 1 ลำ และเรือขนถ่ายขนาดใหญ่อีก 2 ลำ รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ 21 ลำ ได้เดินทางถึงทะเลฟิลิปปินส์ใกล้กับอ่าวเลย์เตแล้วในวันพฤหัสบดี โดยจะจอดอยู่นอกชายฝั่งเกาะซามาร์ เพื่อประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งนำน้ำและยาไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัย
การลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่ประชาชนราว 545,000 คนที่พลัดที่นาคาที่อยู่เนื่องจากพายุไห่เยี่ยน เป็นไปอย่างล่าช้า มหาไต้ฝุ่นลูกนี้ถล่มฟิลิปปินส์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (8) โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดคือจังหวัดเลย์เต โดยเฉพาะเมืองเอกคือตาโกลบาน และเกาะซามาร์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
เทสคอน ลิม เจ้าหน้าที่ปกครองของเมืองตาโกลบานเผยว่า ประชาชน 70% จาก 220,000 คนในเมืองกำลังต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน ทว่า มีข้าราชการลูกจ้างรัฐบาลเพียง 70 คนจาก 2,700 คนเท่านั้นที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
ลิมยังเชื่อว่า ยอดผู้เสียชีวิตในตาโกลบานทั้งหมดจะอยู่ที่ 10,000 รายตามที่คาดการณ์ไว้แต่แรก แม้ประธานาธิบดีอากีโนยืนยันว่าจำนวนเหยื่อไม่น่าเกิน 2,500 คนก็ตาม
สำหรับจำนวนผู้สูญหายที่มีการรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี ยังคงอยู่ที่ 20,000 คน อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้อาจยังไม่ได้ตัดผู้ที่ได้รับการค้นพบแล้วออกไป
ถึงแม้สิ่งของบรรเทาทุกข์ไม่ได้ขาดแคลน เนื่องจากมีการระดมบริจาคทั้งในและนอกฟิลิปปินส์ แต่ปัญหาคือสิ่งของส่วนใหญ่ติดค้างอยู่ที่กรุงมะนิลาและสนามบินเซบู เนื่องจากสนามบินเมืองตาโกลบานเสียหายอย่างหนัก นอกจากนั้นเมืองนี้ยังกำลังขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จากการที่สถานีบริการไม่ยอมเปิดดำเนินการ ส่งผลให้รถบรรทุกไม่สามารถนำสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปแจกจ่ายได้ อีกทั้งยังมีความท้าทายจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
อัลเฟรด โรมัลเดซ นายกเทศมนตรีตาโกลบานเล่าว่า ความที่รถบรรทุกขาดแคลน ดังนั้นบางครั้งรถคันเดียวต้องใช้สลับกันระหว่างขนอาหารไปแจกจ่ายและขนศพ
อุปสรรคทั้งหมดนี้เพิ่มความเสี่ยงสำหรับผู้รอดชีวิต โดยองค์การอนามัยโลก (ฮู) ระบุว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่มีแผลเปิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า การขาดแคลนน้ำสะอาดอาจนำไปสู่โรคท้องร่วง ภาวะขาดน้ำ และเสียชีวิต โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
ประธานาธิบดีอากีโนที่ตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนัก พยายามแก้ต่างให้แก่มาตรการของรัฐบาลในการรับมือภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้ รวมถึงปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ โดยกล่าวว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจสูงกว่านี้อีก หากรัฐบาลไม่สั่งอพยพคนล่วงหน้าและจัดเตรียมสิ่งของบรรเทาทุกข์ไว้
กระนั้น ผู้รอดชีวิตจากพื้นที่ประสบภัยรุนแรงที่สุดบางคนโต้ว่า แทบไม่ได้รับการเตือนเหตุการณ์น้ำทะเลทะลักพุ่งสูงคล้ายคลื่นสึนามิเลย
ขณะเดียวกัน เจริโค เพทิลลา รัฐมนตรีพลังงานฟิลิปปินส์ยอมรับว่า อาจต้องใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์กว่าจะสามารถฟื้นฟูระบบการจ่ายไฟฟ้าในเมืองที่ประสบภัยได้ทั้งหมด โดยเฉพาะตาโกลบานนั้นจำเป็นต้องฟื้นความสงบเรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถปักเสาไฟฟ้าใหม่ได้
เพทิลลาเสริมว่า วันพุธ (13) มีการปะทะระหว่างทหารกับกลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธที่พยายามเข้าไปยังสถานีจ่ายไฟฟ้าย่อยในเลย์เต อย่างไรก็ดี ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
สำหรับมูลค่าความเสียหายโดยรวมนั้นยังไม่สามารถสรุปชัดเจนได้ โดยรายงานเบื้องต้นจากเซดิม ฟอเรนสิก ดิสแซสเตอร์ อนาลิสิสคาดหมายไว้ที่ 80,000-19,000 ล้านดอลลาร์